
“…เมื่อคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษาแสดงกรรมสิทธิที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยมีข้อยุติถึงความกว้าง ความยาว และเนื้อที่โดยประมาณของที่ดินผู้ฟ้องคดีไว้แล้ว ซึ่งผลของคำพิพากษาดังกล่าวย่อมใช้ยันบุคคลภายนอกและผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง…”
..................................
สืบเนื่องจากกรณีที่เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ,พรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ขจรเกียรติ รักพานิชมณี อธิบดีกรมที่ดิน ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เนื้อที่ 5,083 ไร่เศษ
โดยอธิบดีกรมที่ดิน ยืนยันว่าจะไม่ใช้อำนาจตามมาตรา 61 วรรค 8 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินรถไฟฯ ‘เขากระโดง’ และให้ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งมีมติ ‘ไม่เพิกถอน’ เอกสารสิทธิฯที่ออกทับที่ดินรถไฟฯบริเวณแยกเขากระโดง ไปแล้วก่อนหน้านี้
“อธิบดีกรมที่ดินคนก่อน (พรพจน์ เพ็ญพาส) ได้ตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ได้ยุติเรื่องไป รฟท. ในฐานะผู้อ้างสิทธิ์ในที่ดินฯ ก็อุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการสอบสวนฯ ดังกล่าว และอธิบดีกรมที่ดินได้ยกคำร้อง รฟท. จึงร้องไปที่กระทรวงมหาดไทย แต่มีการยกคำร้องอีก
รฟท. จึงไปยื่นศาลปกครองเมื่อ มี.ค.2568 ซึ่งตอนนี้กำลังรอกระบวนการนี้อยู่ และมีการแจ้งกรมที่ดินมาว่า ศาลฯรับพิจารณาคำร้องแล้วเมื่อเดือน มิ.ย.2568 ตอนนี้จึงอยู่ในช่วงการทำคำชี้แจงและส่งไปภายในวันที่ 10 ต.ค.นี้” ขจรเกียรติ กล่าว (อ่านประกอบ : ‘มหาดไทย’ รื้อใหม่กระบวนการ ‘เขากระโดง’ รอผลศาลปค.-รฟท.ฟ้องรายแปลงเท่านั้น)
ในตอน 3 ตอนที่แล้ว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเสนอรายละเอียดคำฟ้องของ รฟท. (ผู้ฟ้องคดี) ที่ยื่นฟ้อง ‘กรมที่ดิน’ กับพวก รวม 3 ราย (กรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ,อธิบดีกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องที่ 2 และปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ต่อศาลปกครองกลางในคดีนี้
โดย รฟท. ระบุว่ามี ‘ข้อเท็จจริง’ ที่ยืนยันความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดง ได้แก่ ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา , คำพิพากษาศาลฎีกา ,คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ,มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคําพิพากษาศาลปกครองกลาง (อ่านประกอบ : เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(1) ยก‘คำพิพากษา-กฤษฎีกา'ยัน'รฟท.'เจ้าของ'เขากระโดง')
อีกทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่ ‘กรมที่ดิน’ โดย ‘สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์’ จะทำการรังวัดแนวเขตที่ดิน รฟท. บริเวณแยกเขากระโดง จนเสร็จสิ้นกระบวนการนั้น คณะกรรมการสอบสวนฯ กลับมีมติ ‘ไม่เพิกถอน’ เอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินรถไฟฯ ‘เขากระโดง’ และสั่งยุติเรื่องสอบสวนฯ โดยอ้างว่า ‘ยังไม่มีข้อยุติในประเด็นเรื่องแผนที่’ (อ่านประกอบ : เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(2) ‘คกก.สอบสวน’ยุติเรื่องฯไม่รอผลรังวัด‘เขากระโดง’)
นอกจากนี้ รฟท. ยังได้ระบุถึงพฤติการณ์ของ ‘อธิบดีกรมที่ดิน และ ‘คณะกรรมการสอบสวน’ ซึ่งมีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินรถไฟฯ บริเวณ ‘แยกเขากระโดง’ ว่า เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
พร้อมทั้งระบุว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วว่า ที่ดินบริเวณแยก ‘เขากระโดง’ เป็นของ รฟท. ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าว มิใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น แต่ผูกพันผู้ถือเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินทุกคน รวมถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ด้วย นั้น (อ่านประกอบ : เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(3) คำพิพากษา'เขากระโดง'ผูกพันอธิบดี-ใช้ดุลพินิจมิชอบ)
ในตอนสุดท้ายนี้ สำนักข่าวอิศรา ขอสรุปรายละเอียดคำฟ้องในส่วน ‘ข้อโต้แย้ง’ ของ รฟท. ที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของ ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ และ ‘คณะกรรมการสอบสวน’ กรณีมีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินรถไฟฯ แยกเขากระโดง เช่น เรื่องแผนที่ และ ‘คำขอ’ ให้ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาในคดีเขากระโดง ดังนี้
@ข้อเท็จจริง'เขากระโดง'ยุติแล้ว-อ้างไม่มี‘แผนที่แนบท้ายฯ’ไม่ได้
3.ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0516.2/22162 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ที่มีความเห็นว่า ไม่เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) และที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ได้ยื่นคำให้การไว้ในคดีปกครองแล้ว ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 ในลักษณะโต้แย้งแผนที่ของผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2533 และปี 2539 ว่า เป็นการจัดทำขึ้นตามมติที่ประชุมคณะกรรมการประสานการแก้ปัญหาบุกรุกที่ดินของรัฐส่วนจังหวัด (กปร.) ซึ่งผู้ฟ้องคดีก็ได้นำไปอ้างในการต่อสู้คดี ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 842-876/2560 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561
จึงเป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นภายหลังที่ได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดินไปแล้วประมาณ 900 กว่าแปลง และแผนที่ดังกล่าว ไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดชื่อที่ดินฯ ในที่พิพาทแต่อย่างใด และอ้างว่าตามมติที่ประชุม กปร. ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินคดีทางศาลแก่ผู้บุกรุก โดยมิได้มีการสั่งการเกี่ยวกับการจัดทำรูปแผนที่แต่อย่างใด นั้น
ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ขอกราบเรียนว่า การที่ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ก็เพื่อให้การดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ในเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินนั้น เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ถูกต้อง เป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งแล้วว่า ที่ดินบริเวณที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินบริเวณแยกเขากระโดง นั้น เป็นที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 และคณะกรรมการสอบสวน ต้องยึดข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยุติดังกล่าว ว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี โดยมิต้องให้ผู้ฟ้องคดีพิสูจน์สิทธิ์อีก
เพียงแต่มีหน้าที่ในการตรวจสอบรังวัดแนวเขตร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนว่า พื้นที่แนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีมีขอบเขตแค่ไหน เพียงใด โดยอาศัยข้อเท็จริงอันเป็นที่ยุติแล้วตามคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฐานในการพิจารณาเบื้องต้น หลังจากนั้นจึงพิจารณาว่า ที่ดินที่มีการออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินแปลงใดบ้างที่ออกทับช้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี เพื่อนำไปสู่การออกคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องเท่านั้น
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมาลกฎหมายที่ดิน จะยกข้ออ้างเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถนำแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงจัดการสร้าง ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 มาแสดงต่อคณะกรรมการสอบสวนได้ เป็นเหตุผลในการไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินนั้น
เท่ากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และคณะกรรมการสอบสวน โต้แย้งสิทธิผู้ฟ้องคดี และไม่ยึดตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลที่วินิวินิจฉัยรับรองกรรมสิทธิของผู้ฟ้องคดีไว้แล้ว และมีผลผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะดูกรณีด้วย
และการยกข้ออ้างดังกล่าว จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอนด้วยกฎหมาย และมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น เนื่องจากแนวเขตทีดินของผู้ฟ้องคดี ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยละเอียดแล้ว
การที่ผู้ถูกฟ้อกฟ้องคดีที่ 2 ยกข้ออ้างตามความเห็นคณะกรรมการสอบสวนว่า ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เป็นที่ยุติว่า เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งขอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จึงเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นและเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
@คำพิพากษา‘ศาลฎีกา’ระบุชัดแนวเขต‘เขากระโดง’-รฟท.ใช้ยันสิทธิ์ได้
ส่วนข้อกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน ว่า จากรายงานผลการถ่ายทอดแนวเขตที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ว่า ตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนที่ว่า คณะทำงานดำเนินการถ่ายทอดแนวเขตที่ดินตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 681/2566 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2566 อาจมีความยาวของทางรถไฟประมาณ 6.2 กิโลเมตร
ซึ่งคณะทำงานฯ ได้ตรวจสอบทางรถไฟ โดยใช้วิธีการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ 4 ชั้นปี ประกอบด้วย ภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ.2497 ,พ.ศ.2511, พ.ศ.2529, และ พ.ศ.2557 ปรากฏทางรถไฟ จากการอ่าน แปล ภาพถ่ายทางอากาศปี พ.ศ.2497 มีระยะทางประมาณ 6.2 กิโลเมตร
และได้ลงสำรวจเส้นทางรถไฟในพื้นที่จริง ด้วยการรังวัดค่าพิกัดด้วยเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมแบบจลน์ (Real Time Kinematics. RTK) โดยการนำหมุดบังคับภาพในภาคสนาม เพื่อหาค่าความคลาดเคลื่อนทางตำแหน่งรวม (RMSE) ) ปรากฏว่ามีความคลาดเคลื่อนทางตำแหน่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ดังนั้น จึงสามารถยืนยันตำแหน่งทางรถไฟที่ปรากฎในภาพถ่ายทางอากาศว่า ตรงกับตำแหน่งรางรถไฟบนที่ดินจริง
ประกอบกับการตรวจสอบจากแผนที่ภูมิประเทศ ลำดับชุดที่ L708 ซึ่งเป็นแผนที่ภูมิประเทศชุดแรกในประเทศไทยจัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร โดยให้ทหารอเมริกันสำรวจให้ในช่วงปี พ.ศ.2495-พ.ศ.2500 ตรงกับแผนที่ชุดแรกที่กรมที่ดินใช้ในการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ ก็ปรากฏทางรถไฟตรงกับตำแหน่งที่ลงพื้นที่ตราจสอบเช่นกัน
โดยมีข้อสังเกตที่สำคัญจากการดำเนินการของคณะทำงานฯ คือ จุดสิ้นสุดรางรถไฟในแต่ละชั้นปีที่ดำเนินการถ่ายทอด ระยะสิ้นสุดไม่เท่ากัน และมีความแตกต่างกันในช่วงปลายตั้งแต่หลักกิโลเมตรที่ 6 ถึงจุดที่สิ้นสุด มีทิศทางที่แตกต่างกัน โดยหากพิจารณาจากรางรถไฟจริงสิ้นสุดของกิโลเมตรที่ 8 จะเบี่ยงไปทางทิศตะวันออก
และความกว้างของแนวเขตทางรถไฟ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าและเทียบเคียงจากพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องและจากหนังสือกระทรวงโยธาธิการ ฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม รัตรโกสินทรศก 127 สันนิษฐานได้ว่า การกำหนดเขตสร้างทางรถไฟ จะมีการกำหนดไว้เพียงระยะข้างละไม่เกิน 40 เมตร หรือ 20 วา
และจากการศึกษาข้อมูลแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดระยะเขตทางรถไฟของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ เปรียบเทียบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายอื่นๆ ในช่วงปี พ.ศ.ใกล้เคียงกัน ปรากฏว่าทุกสายมีระยะเขตทางรถไฟ ไม่ถึง 1,000 เมตร
ส่วนสายที่มีระยะเกิน 40 เมตร จะมีรูปแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา โดยกำหนดระยะอาณาเขตไว้ชัดเจน เมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้พิจารณาเกี่ยวกับการสร้างทางแยกรถไฟที่แยกจากสายตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสานใต้) โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับทางรถไฟแยกไปเขากระโดงและบ้านตะโก ซึ่งบางช่วงมีความกว้างถึง 1,000 เมตร
จึงน่าเชื่อว่า มิได้เป็นการสร้างทางรถไฟตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พ.ศ.2464 และมิได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟ จึงไม่ปรากฎหลักฐานในทางกฎหมายในจัดสร้างและการจัดซื้อที่ดิน
และจากผลการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของคณะทำงานศึกษา แสวงหาหลักฐานและบูรณาการข้อมูลประวัติที่ดินของกรมที่ดิน กรณีที่กระทรวงโยธาธิการมีหนังสือสอบถามความเห็นเจ้ากรมรถไฟในขณะนั้น เรื่องเกี่ยวกับการกำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟสายนครราชสีมา ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 5 สรุปความได้ว่า
การกำหนดเขตร์ที่ดินข้างทางรถไฟด้านข้างขวาได้ 30 วา ค่อนข้างจะมากเกินความต้องการ เห็นควรให้กำหนดเพียง 20 วา เท่ากับด้านซ้าย เพื่อให้กับการกำหนดเขตร์รถไฟสายอื่นๆ การกำหนดเขตร์ที่ดิน ซึ่งไม่มีเจ้าของหวงแหนตามพระราชกฤษฎีกาสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาที่กำหนดข้างละ 5 เส้น เห็นว่า ค่อนข้างมากเกินกว่าความต้องการบำรุงทางรถไฟ จึงมีพระราชประสงค์ให้ยกกำหนดเขตร์ที่ดิน ซึ่งไม่มีเจ้าของหวงห้ามข้างละ 5 เส้นนั้นเสีย
คณะกรรมการเห็นว่า ในประเด็นเกี่ยวกับความกว้างของแนวเขตรางรถไฟ จึงไม่ควรมีความกว้างเกินกว่า 40 วา (ข้างละ 20 วา) และแม้ว่าจะไม่มีการออกพระราชกฤษฎีการองรับ เมื่อนำความเห็นซองคณะกรรมการกฤษฎีกามาประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการเข้าไปใช้ทำประโยชน์ของกรมรถไฟ
จึงถือได้ว่า เป็นการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้ไว้ในรายการตามกฎหมายแล้ว ตามที่ได้มีการใช้ประโยชน์จริงระยะข้างละ 20 วา หรือ 40 เมตร จึงไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน นั้น
ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ขอกราบเรียนว่า เมื่อคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษาแสดงกรรมสิทธิที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยมีข้อยุติถึงความกว้าง ความยาว และเนื้อที่โดยประมาณของที่ดินผู้ฟ้องคดีไว้แล้ว ซึ่งผลของคำพิพากษาดังกล่าวย่อมใช้ยันบุคคลภายนอกและผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โดยเฉพาะตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 นั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ก็เป็นคู่ความในคดีด้วย ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีหน้าที่เพียงตรวจสอบแนวเขตที่แน่นอนของที่ดิน ซึ่งเป็นของผู้ฟ้องคดี ตามผลแห่งคำพิพากษาของศาลว่ามีขอบเขตแค่ไหน เพียงใด
แต่มิใช่เป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 หรือคณะกรรมการสอบสวน รวมถึงคณะทำงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จะมากำหนดขอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แตกต่างไปจากที่ศาลได้มีคำพิพากษาไว้อย่างสิ้นเชิงตามความเห็นของคณะทำงานฯของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามที่กล่าวอ้างข้างต้น
ความเห็นตามข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นการวินิจฉัยและใช้ดุลพินิจที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงตามที่ศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และหน่วยงานอื่นๆ ได้วินิจฉัยไว้แล้ว ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน โดยอ้างเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
@ที่ดิน‘รถไฟ’ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครอง-ห้าม‘ปชช.-เอกชน’โต้แย้งสิทธิใดๆ
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนฯ ว่า การออกหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดินได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถูกต้องครบถ้วน และมีบางแปลงผู้ฟ้องคดีได้รับรองแนวเขตที่ดิน และไม่มีการคัดค้านในการออกหนังสือแสดงสิทธิ โดยไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ที่แสดงว่า ข้อเท็จจริงเดิมเปลี่ยนแปลงไป ถือว่า หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินออกชอบด้วยกฎหมายแล้ว นั้น
ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ขอกราบเรียนว่า เมื่อที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ของผู้ฟ้องคดี เป็นที่ดินรถไฟตามนัยมาตรา 3(2) ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 (1) (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดินทันที เมื่อมีการออกพระราชกฤษฎีกาให้จัดซื้อที่ดินในราชกิจจานุเบกษา ตามนัยมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับโอนที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ดังกล่าว มาจากกรมรถไฟหลวง ที่ดินของผู้ฟ้องคดี จึงได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครอง ทวงห้ามมิให้ประชาชนเข้ายึดถือหรือครอบครอง รวมทั้งโต้แย้งสิทธิใดๆ กับผู้ฟ้องคดีด้วย ตามนัยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497
ส่งผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่มีอำนาจในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ประชาชนหรือเอกชนรายใดทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี เพราะเป็นการต้องห้ามตามนัยมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบ ข้อ 14(4) กฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497
ดังนั้น เมื่อที่ดิน ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นที่ดินที่ได้รับความคุ้มครอง มิให้บุคคลใดเข้ายึดถือครอบครอง หรือโต้แย้งสิทธิใดๆ และเป็นที่ดินที่ไม่สามารถออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินให้กับบุคคลอื่นได้ ตามบทบัญญัติของกฎหมายตามที่ได้กราบเรียนข้างต้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิหรืออำนาจตามกฎหมายใดที่จะออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินในพื้นที่ที่อยู่ในเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ได้ออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน ทั้งโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) อย่างน้อยตามที่ปรากฏตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ 1195/2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 จำนวน 290 ฉบับ และตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ 1196/2566 จำนวน 707 ฉบับ จึงเป็นการออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินโดยคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อกรณีมีข้อพิพาทเกิดขึ้นกับผู้ครอบครองที่ดินตามเอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ออกให้ และศาลฎีกา และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด แสดงสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ก็ได้ปฏิบัติตามผลของคำพิพากษาดังกล่าว ด้วยการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ได้ออกไปแล้ว
และไม่ออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่มีการยื่นคำขอออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน ซึ่งที่ดินที่มีการออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินแปลงอื่น ก็อยู่ในบริเวณที่ศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำพิพากษาไว้แล้วเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาถึงถึงที่สุดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ย่อมต้องคำนึงถึงผลของคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่จะต้องตระหนักและปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายและคำพิพากษาของศาล เพื่อการคุ้มครองสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดี
แต่แทนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จะปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการสอบสอมสวนและการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกโดยคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กลับยกข้ออ้างต่างๆ เพื่อปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามมาตรา 61 และข้อสังเกตของศาลปกครองกลาง ทั้งที่ข้อกล่าวอ้าวอ้างๆ ที่เป็นการปฏิเสธสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขัดแย้งกับผลของคำพิพากษาอย่างชัดแจ้ง
ยิ่งกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยกข้ออ้างว่า การออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ซึ่งเป็นการดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถูกต้องครบถ้วนนั้น แสดงให้เห็นว่า การใช้ดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีแต่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีและประชาชนที่ถือเอกสารสิทธิสิทธิดังกล่าว ซึ่งเกิดจากการออกคำสั่งและการกระทำโดยไม่สุจริต อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนกรณีที่จะมีเจ้าหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ไปรับรองแนวเขตที่ดิน และไม่คัดค้านการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินบางแปลง รวมถึงเอกสารหลักฐานตามคำคัดค้านของผู้มีส่วนได้เสียด้วย ตามข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 นั้น ก็ไม่อาจใช้ยันผู้ฟ้องคดีได้ เนื่องจากที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ของผู้ฟ้องคดี เป็นที่ดินรถไฟ
การหวงห้ามหรือถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟ โดยเอกชนย่อมกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้มีประกาศพระบรมราชโองการพิเศษให้ที่ดินขาดจากการเป็นที่ดินรถไฟแล้ว ตามนัยมาตรา 6 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดวางทางรถไฟแลทางหลวง พ.ศ.2464 เท่านั้น การรับรองหรือไม่คัดค้านการดำเนินการดังกล่าว จึงไม่มีผลผูกพันผู้ฟ้องคดี
@ชี้องค์ประกอบ‘คณะกรรมการสอบสวน’ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากที่ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ได้กราบเรียนถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิ์ในที่ดินและสั่งยุติเรื่อง ตามคำฟ้องข้างต้นแล้ว ยังมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ 1195/2566 และที่ 1196/2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 อีกด้วย
กล่าวคือ เมื่อพิจารณาตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสอบสวนฯ พ.ศ.2553 ข้อ 2 (1) (ข) กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับจังหวัดอื่น
ต้องประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ที่ที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขา หรือข้าราชการสังกัดกรมที่ดินที่อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดี หรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดินเห็นสมควร เป็นประธานกรรมการ นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำถึงอำเภอ ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ ตัวแทนคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่
และผู้แทนส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องตามที่เห็นสมควร เป็นกรรมการ และให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดี ผู้ตรวจราชการกรมที่ดินแต่งตั้งข้าราชการ ซึ่งดำรงตำแหน่งประเกททั่วไป ตั้งแต่ระดับดับชำนาญงานขึ้นไป หรือข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ตั้งแต่ระดับชำนาญการขึ้นไปในสำนักงานที่ดินจังหวัด หรือสำนักงานที่ดินจังหวัดสาขาเป็นกรรมการและเลขานุการ
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ 2 (1) (ข) ของกฎกระทรวงข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่า คณะกรรมการสอบสวนอย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการ และกรรมการ รวม 5 คน
แต่ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1195-1196/2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ได้แต่งตั้งกรรมการเพียง 4 คนเท่านั้น โดยขาดกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทำให้องค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวนไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้
อีกทั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ก็ทราบเป็นอย่างดีว่า กระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ฟ้องคดี มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว กลับมิได้แต่งตั้งให้ผู้แทนกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นกรรมการในส่วนของผู้แหนราชการที่เกี่ยวข้องด้วย
เมื่อการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ไม่เป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนดไว้ ย่อมทำให้คณะกรรมการสอบสวนไม่อาจพิจารณาและมีมติใดฯ ได้ มติคณะกรรมการสอบสวน ที่เห็นควรไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิ์ในที่ดินและสั่งให้ยุติเรื่อง จึงไม่มีผลยกพันและไม่อาจใช้บังคับได้
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงต้องแต่งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาดำเนินการใหม่ และดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางต่อไป
@ขอ‘ศาลฯ’พิพากษาเพิกถอนคำสั่ง‘อธิบดีกรมที่ดิน’-สั่งเพิกถอนโฉนด
ด้วยเหตุดังได้กราบเรียนต่อศาลข้างต้น เมื่อคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ที่ไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินและสั่งยุติเรื่อง เป็นคำสั่งและการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายาย เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) โดยมีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และเหตุผลโต้แย้งหลายประเด็น
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 กลับมิได้พิจารณาอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีในแต่ละประเด็นแต่อย่างใด กลับพิจารณาอุทธรณ์และมีคำสั่งว่า การไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินและสั่งยุติเรื่องของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ดังนั้น คำสั่งของผู้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีตามหนังสือแจ้งคำสั่งของกรมที่ดิน ที่ มท 0516.2(2)/760 ลงวันที่ 13 มกราคม 2568 เรื่อง แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
ผู้ฟ้องคดีจึงได้รับความเดือดร้อนและเสียหายจากคำสั่งและการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม จึงกราบเรียนต่อศาลปกครองกลางที่เคารพ ขอได้ได้โปรดพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีต่อไป
คำขอท้ายฟ้อง
ด้วยเหตุผลตามที่ผู้ฟ้องคดีได้ประทานกราบเรียนไว้แล้วดังกล่าวข้างต้น ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) จึงมีความประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาบังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามดังต่อไปนี้
1.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามหนังสือเลขที่ มท 0516.2(2)/22362 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567
2.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกกหมายของผู้ถูกฟ้องที่ 2 ซึ่งแจ้งผลการอุทธรณ์ ตามหนังสือเลขที่ มท 0516.2(2)/25841 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2567 เรื่องการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง
3.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ตามหนังสือเลขที่ มท 0516.2(2)/760 ลงวันที่ 13 มกราคม 2568 เรื่องแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง
4.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี พื้นที่บริเวณทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 995 ฉบับ ที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ออกเอกสารโดยมิชอบ ซึ่งเป็นการคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดในพื้นที่ของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุดหรือภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนด
5.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอน เอกสารแสดงสิทธิในที่ดินซึ่งออกทับซ้อนที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งหมด นอกเหนือจากคำขอตามข้อ 4 ตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของการรถไฟ ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเม็ตร์ 375+650 ตามระวางที่ดิน 5638 IV 9452-00 ถึง 5638 IV 9454-00 บริเวณทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองปรีรัมย์ จังหวัดบรีรัมย์ ซึ่งได้จัดทำข้อมูลค่าพิกัดตำแหน่งหมุดตามแบบ ร.ว.9 แล้ว
6.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันส่งมอบเอกสารสิทธิ์ทั้งหมดที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับซ้อนที่ดินพิพาทของผู้ฟ้องคดีทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พื้นที่บริเวณทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หรือภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนต่อนต่อไป
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
เหล่านี้เป็นคำฟ้องของ ‘รฟท.’ ในคดีเพิกถอนคำสั่ง ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ ที่มีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินรถไฟฯบริเวณแยกเขากระโดง และต้องติดตามกันต่อไปว่า การทวงคืนที่ดิน ‘เขากระโดง’ กลับคืนมาเป็น รฟท. ได้มีบทสรุปอย่างไร แต่แน่นอนว่ากระบวนการพิจารณาฯ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดนั้น น่าจะใช้เวลาหลายปี!
อ่านประกอบ :
เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(3) คำพิพากษา'เขากระโดง'ผูกพันอธิบดี-ใช้ดุลพินิจมิชอบ
เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(2) ‘คกก.สอบสวน’ยุติเรื่องฯไม่รอผลรังวัด‘เขากระโดง’
เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(1) ยก‘คำพิพากษา-กฤษฎีกา'ยัน'รฟท.'เจ้าของ'เขากระโดง'
‘มหาดไทย’ รื้อใหม่กระบวนการ ‘เขากระโดง’ รอผลศาลปค.-รฟท.ฟ้องรายแปลงเท่านั้น
‘รฟท.’ โต้ ดีเอสไอ เปล่าเลื่อนแจ้งความ ‘เขากระโดง’ ชี้มีนัดให้การ 5 ก.ย. 68
‘ดีเอสไอ’เตือน‘รฟท.’ไม่แจ้งความ‘เขากระโดง’ละเว้นฯ เปิดสองมุม‘ภูมิธรรม-อนุทิน'
‘ภูมิธรรม’ เผย ไทม์ไลน์ เซ็นเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง สิ้นเดือนก.ย.นี้
พบอีก! ‘สุทัศน์’อนุกรรมการกม.‘รฟท.’ปี 63 เคยเป็นทนายให้‘ชาวบ้าน’35 ราย คดี‘เขากระโดง’
เซ็นเพิกถอนเขากระโดงส่อเลื่อน! อธิบดีกรมที่ดินเอ็นข้อหัวไหล่ฉีกขาด ส่งตัวผ่าตัดศิริราช
DSI ลงพื้นที่'บุรีรัมย์'พบนิติกรรมต้องสงสัยโฉนด‘เขากระโดง’หลายแปลง-ส่อพัฒนาเป็นคดีพิเศษ
ย้ำ‘รฟท.’เจ้าของ‘เขากระโดง’ แจ้งออก‘ส.ค.1’ยืนยันสิทธิฯ-โต้ปมแนวเขตที่ดินข้างละ 40 เมตร
'ภูมิธรรม' ส่งตัวแทนยื่นร้อง 'ทิวา' ทนายเขากระโดง แถลงข่าวใช้ถ้อยคำรุนเเรงโจมตีผิดมรรยาท
ไม่ขัดกม.-มรรยาทฯ! ‘ชนินทร์’แจงช่วงนั่ง‘ปธ.อนุฯกฎหมาย’รฟท. ไม่เกี่ยวข้องคดี'เขากระโดง'
ส่อขัด‘มรรยาท’! พบ‘ชนินทร์’ทนายคดี‘เขากระโดง’ เคยนั่ง‘ปธ.อนุกรรมการกม.’รฟท.
รฟท.แจ้งครอบครอง'เขากระโดง'ป้องกัน'บุกรุก' ก่อน'กฤษฎีกา'ชี้'ที่ดินรถไฟ'ไม่ต้องออก ส.ค.1
ยังรอ มท.เพิกถอนโฉนด! รฟท. ยกคำตัดสินศาลปค.ที่ดินทั้ง 5,083 ไร่เป็นของการรถไฟฯ
‘ภูมิธรรม’ ยัน ‘เขากระโดง-อัลไพน์’ มาตรฐานเดียว จับตาชงครม.ตั้ง ‘อธิบดีกรมที่ดิน’
DSI จ่อฟัน ‘อาญา-ฟอกเงิน’ บุกรุก ‘เขากระโดง’ - อ้าง รฟท. เจ้าของที่ดิน 5 พันไร่
‘กรมที่ดิน’ชี้ 3 แนวทางเพิกถอน‘โฉนด’ม.61 หลัง‘เดชอิศม์’ตั้ง‘กก.ตรวจสอบฯ’ปม‘เขากระโดง’
เปิดปฏิบัติการ‘คู่ขนาน’ทวงคืน‘เขากระโดง’ บี้ทบทวนคำสั่ง‘กรมที่ดิน’-ฟ้องขับไล่‘รายแปลง’
รฟท.อุทธรณ์ศาลปค. 2 ประเด็น ‘เขากระโดง’ แล้ว - จ่อส่งข้อมูลให้คกก.ชุด ‘ภูมิธรรม’
‘ภูมิธรรม’ สั่ง ‘อธิบดีที่ดิน’ แจงคดีเขากระโดงใน 7 วัน ยันทำไม่เว้นแม้แต่ ‘อัลไพน์’
ฉบับเต็ม! คำวินิจฉัย‘ศาลปค.’ไม่รับฟ้องบางข้อหา-ตีตกปม‘รฟท.’ขอสั่งเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
ฟ้อง 4 ข้อหาไม่รับ 2!‘ศาลปค.’ตีตกคำขอ‘รฟท.’สั่ง‘กรมที่ดิน’เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’995 ฉบับ
‘ภูมิธรรม’เผยเตรียมเซ็นคำสั่งตั้ง คกก.ทบทวนพิพาท ‘เขากระโดง’
‘ภูมิธรรม’ โยนรมว.จริงมาทำ ‘เขากระโดง-อัลไพน์’ - ปัดคุยแต่งตั้งโยกย้าย
มีอิทธิพลในพื้นที่-บุคลากรไม่พอ! เปิดหนังสือ‘รฟท.’ขอ‘อสส.’ฟ้องถอนโฉนด‘เขากระโดง’
‘อนุทิน’ แจงเขากระโดง-อัลไพน์ ไม่เกี่ยวกัน นายกฯไม่เคยแทรกแซง
‘ประชาชน’ อัดรัฐบาลไม่จริงใจแก้ ‘อัลไพน์-เขากระโดง’ จับเป็นตัวประกันเจรจา กล่าวหาแรงหวังฮุบที่วัด
‘สร.รฟท.’บุก‘ปปป.’กล่าวโทษ‘อธิบดีกรมที่ดิน-คกก.สอบสวน’ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
รฟท.ร่างคำฟ้องยื่นศาลปค. ‘เขากระโดง’ชี้คำสั่งคกก.มาตรา 61 ไม่ชอบ
‘สุริยะ’ ยังไม่ตอบ ‘เขากระโดง’ จะฟ้องรายแปลงหรือไม่ - น้อมรับศาลไม่เพิ่มผู้บริหารแผน ‘บินไทย’
ฉบับเต็ม! เปิดหนังสือแจ้งผลอุทธรณ์ฯ ‘มท.’ชี้‘กรมที่ดิน’ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ชอบแล้ว
‘อนุทิน’ เผยผลอุทธรณ์ ‘เขากระโดง’ ยืนตามมติเดิม ไม่เพิกถอน
ชาวบ้าน 35 ราย กลับลำ เบรกเซ็นสัญญาเช่าที่ดิน‘เขากระโดง’อ้างแพง-‘รฟท.’เร่ง‘บังคับคดี’
‘กรมที่ดิน’โต้‘รฟท.’อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของ‘เขากระโดง’ 5 พันไร่ ขยายความเกิน‘คำพิพากษา’
‘สุริยะ’ย้ำ‘เขากระโดง’ที่ดินรถไฟฯ พร้อมให้ชาวบ้านเช่าราคาถูก-‘อนุทิน’รอฟังคำสั่ง‘ศาลปค.’
เทียบชัดๆ! คำพิพากษา‘ศาลฎีกา’ VS ความเห็น‘คกก.สอบสวน’ ชี้แนวเขตที่ดินรถไฟฯ‘เขากระโดง’
เผือกร้อน‘สุริยะ-รฟท.’ฟ้อง‘ศาลยุติธรรม’เพิกถอนโฉนด‘รายแปลง’ ปิดฉากมหากาพย์‘เขากระโดง’!
‘สุริยะ-รฟท.’ รอผลอุทธรณ์กรมที่ดิน ‘เขากระโดง’ - ‘วีริศ’ชี้ต้องรอบคอบ หวั่นโดน 157
บังคับคดีแล้ว! โชว์เอกสาร‘ศุภวัฒน์’คืนที่ดิน‘เขากระโดง’ 24 ไร่-ชดใช้‘รฟท.’ 4.8 ล้าน
มท.1ชี้ออกสัญญาเช่า 'เขากระโดง' พิสูจน์สิทธิก่อน-'กรมที่ดิน'ย้ำรถไฟฯไม่มีแผนที่ท้าย'พ.ร.ฎ.'
ฉบับเต็ม!หนังสืออุทธรณ์‘รฟท.’(จบ) ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ละเลยต่อหน้าที่ ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
ฉบับเต็ม! หนังสืออุทธรณ์‘รฟท’(2) ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ใช้ดุลพินิจมิชอบ ไม่ถอนโฉนด‘เขากระโดง’
ฉบับเต็ม! หนังสืออุทธรณ์‘รฟท’(1) ที่ดิน‘เขากระโดง’เป็นของ‘รถไฟฯ’-ไม่ต้องพิสูจน์สิทธิ์อีก
'วีริศ' ส่งหนังสือถึง 'อธิบดีกรมที่ดิน' เพิกถอนมติคกก.สอบสวน 'เขากระโดง'
สอบเขากระโดงล่ม! กมธ.ที่ดินเผย องค์ประชุมไม่ครบก่อนขอมติ
‘เลขาฯกฤษฎีกา’ ชี้ต้องยึดคำพิพากษาเป็นหลัก ‘เขากระโดง’ ‘รฟท.-กรมที่ดิน’ แค่สื่อสารไม่ตรงกัน
‘กรมที่ดิน’ แจง ‘ที่ดินเขากระโดง’ ‘รถไฟ’ไร้เอกสารหลักฐานยืนยัน
‘รถไฟ’ ยื่นศาลปค.อธิบดีทำไม่ครบที่ดิน‘เขากระโดง’-‘อนุทิน’ยันไม่มีช่วยใคร
ย้อนคำวินิจฉัย'ศาลปค.' คดีถอนโฉนด'เขากระโดง'-ก่อน‘กรมที่ดิน’โยน‘รฟท.’ฟ้องขับไล่'รายแปลง'
ไม่ขัดแย้งคำพิพากษา!‘กรมที่ดิน’แจงไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’-แนะ‘รฟท.’ฟ้องขับไล่‘รายแปลง’
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจฯ จี้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง มาเป็นของ รฟท.
‘รฟท.’เร่งสรุปท่าทีทวงคืน‘เขากระโดง’-ข้องใจ‘คกก.สอบสวน’ไม่รับ‘แผนที่’ยกสู้คดีในศาลจนชนะ
ไม่เชื่อ'แผนที่'ตามคำพิพากษา! ฉบับเต็ม‘คกก.สอบสวน’ยก 4 เหตุผล ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
โยน‘รฟท.’พิสูจน์สิทธิ์ในศาล! ‘คณะกรรมการสอบสวนฯ’มีมติไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 5 พันไร่
‘สนง.ที่ดินบุรีรัมย์’ส่งหนังสือแจ้ง‘รฟท.’รังวัด‘เขากระโดง’เสร็จแล้ว-พร้อมแนบระวางแผนที่
รังวัดฯเสร็จแล้ว! ‘กรมที่ดิน’จ่อชงข้อมูล‘คณะกรรมการสอบสวน’ชี้ขาดเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
รฟท.ลงพื้นที่นำชี้แนวเขต'เขากระโดง'-'กรมที่ดิน'แจงกม.ขีดเส้นรังวัดฯให้เสร็จภายใน 50 วัน
ย้อนไทม์ไลน์ 1 ปี เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ไม่คืบหน้า-‘กรมที่ดิน’นัด'รฟท.'ชี้เขตรังวัดที่ดิน
8 เดือนไม่เพิกถอน! ‘กรมที่ดิน’รังวัดเขตที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ใหม่-รฟท.ติดเรื่องค่าใช้จ่าย
เปิดหนังสือทนายตระกูล‘ชิดชอบ’ อ้าง 9 ข้อเท็จจริง ค้าน‘คกก.สอบสวน’เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
แผนที่เขตรถไฟฯมีพิรุธ! ทนายตระกูล‘ชิดชอบ’ยกต่อสู้ ปมถอนโฉนดเขากระโดง-ชี้ศก.บุรีรัมย์ชะงัก
ไม่เกี่ยวถอนโฉนดเขากระโดง!‘ชยาวุธ’เปิดใจลาออกอธิบดีที่ดินดูแลภรรยาป่วย
เปิดตำแหน่งโฉนด’ตระกูล‘ชิดชอบ’ทับที่รถไฟฯ‘เขากระโดง’-‘ฝ่าย กม.’แจงซื้อโดยสุจริต
จ่อโดนเพิกถอน! ชัดๆเปิด‘โฉนด-น.ส.3’ตระกูล’ชิดชอบ’ 20 แปลง 288 ไร่ ทับที่ดิน‘เขากระโดง’
ก่อน‘ชยาวุธ’ทิ้งเก้าอี้อธิบดี! พบ‘คกก.สอบสวน’แจ้งเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’รุกที่หลวง 2 แปลง
'อนุทิน'ปัดการเมืองกดดัน 'อธิบดีกรมที่ดิน'ยื่นลาออก อย่าโยงปมพิพาท‘เขากระโดง’
การบ้าน‘อนุทิน’นั่ง‘มท.1’! แก้โจทย์สายสีเขียว-เพิกถอนโฉนดเขากระโดง-ต่อสัญญาซื้อน้ำ‘กปภ.’
ลุยเพิกถอนโฉนด 5 พันไร่!‘กรมที่ดิน’ไม่อุทธรณ์คดี‘เขากระโดง’-แจ้งศาลฯตั้ง‘คกก.สอบสวน’แล้ว
‘รฟท.’ยื่นอุทธรณ์คดี‘เขากระโดง’ปมเรียกค่าเสียหาย 707 ล้าน-รอ‘ศาลปค.’แจ้งท่าที‘กรมที่ดิน’
เส้นตาย 30 เม.ย.! ‘รฟท.’จับตา‘กรมที่ดิน’ยื่นอุทธรณ์คดีเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 772 แปลง
ฉบับเต็ม! พลิกคำพิพากษา‘ศาล ปค.’สั่ง‘กรมที่ดิน ‘ตั้ง‘คกก.สอบสวน’ถอนโฉนด‘เขากระโดง’
‘ศาลปค.กลาง’สั่ง‘อธิบดีกรมที่ดิน’ตั้ง‘คกก.สอบสวน’ เพิกถอนโฉนดที่ดิน‘เขากระโดง’ 772 แปลง
ยันไม่ละเลยเพิกเฉย! ‘กรมที่ดิน’ลุ้น‘ศาลปค.กลาง’ตัดสินคดีถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 30 มี.ค.นี้
‘ศาลปค.’นัดตัดสินคดีถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 30 มี.ค.นี้-‘ตุลาการฯ’ชี้‘กรมที่ดิน’ละเลยหน้าที่
'ศาลปค.'นั่งพิจารณานัดแรก คดี'รฟท.'ฟ้อง'กรมที่ดิน'ขอสั่งเพิกถอนโฉนด'เขากระโดง' 5 พันไร่
เปิด 2 คำร้อง! ยื่น ป.ป.ช. เอาผิด-สอบจริยธรรม‘ศักดิ์สยาม’ เอื้อเครือญาติยึด‘เขากระโดง’
ยื่น ป.ป.ช.ฟัน'ศักดิ์สยาม' 3 เรื่อง! 'ทวี'แนะปมเขากระโดง ส่งศาลฎีกาสอบจริยธรรมทันที
ข้อมูลใหม่! โฉนด 12 แปลง 179 ไร่ ออกทับที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ โยงเครือญาติตระกูล‘ชิดชอบ’

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา