
“…ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) กลับกระทำการโดยละเว้นไม่สั่งการและกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย ทั้งยังมีพฤติการณ์เป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการจัดซื้อและจัดจ้างโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมายดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับความเสียหาย..”
..................................
จากกรณีที่ ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1972/2567 คดีหมายเลขแดงที่ 1941/2568 ซึ่งเป็นคดีที่ นายสุชาติ เตชจักรเสมา อดีตประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) (ผู้ฟ้องคดี) ยื่นฟ้อง รมว.พาณิชย์ และองค์การคลังสินค้า (อคส.) (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2)
กรณีมีคำสั่งให้นายสุชาติ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ อคส. ในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายทั้งหมด คิดเป็นเงินจำนวน 400,754,098.36 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รับแจ้งคำสั่ง
อันเป็นผลสืบเนื่องจากที่ นายสุชาติ ได้สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินโครงการจัดซื้อถุงมือบางมูลค่าแสนล้านบาทกับ บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ซึ่งมีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปก่อนวงเงิน 2,000 ล้านบาท แต่การดำเนินโครงการถูกตรวจสอบพบปัญหาไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทำให้ อคส.ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 2,003,770,491.80 บาท นั้น (อ่านประกอบ : โดน 401.3 ล้าน! ศาลปค.กลาง สั่ง 'สุชาติ' อดีตปธ.อคส.ชดใช้ค่าสินไหมคดีถุงมือยางแสนล.)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดของคำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีนี้ โดยในตอนแรกนี้ สำนักข่าวอิศรา ขอนำเสนอคำวินิจฉัยของศาลฯ ใน ‘ส่วนแรก’ ซึ่งศาลฯได้วินิจฉัยว่าเกี่ยวกับประเด็นคำสั่งของ อคส. ที่ใช้สิทธิเรียกร้องให้นายสุชาติชดใช้ค่าสินไหมฯ ในโครงการจัดซื้อฯ ‘ถุงมือยาง’ นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนายสุชาติ ได้กระทำละเมิดต่อ อคส. หรือไม่ มีรายละเอียด ดังนี้
@‘อคส.’มีสิทธิสั่ง‘อดีตปธ.บอร์ด’ชดใช้ค่าเสียหาย‘ถุงมือยาง’
ศาลได้ตรวจพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยแล้ว
คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (รมว.พาณิชย์) มีคำสั่ง องค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 256/2566 ลงวันที่ 19 ธ.ค.2655 ให้ผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) ชําระค่าสินไหมทดแทน เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 2 หรือไม่ เพียงใด
โดยมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 256/2566 ลงวันที่ 19 ธ.ค.2566 เป็นการใช้สิทธิเรียกร้อง ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ....เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) โดยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าได้มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 106/2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 11 พ.ค.2564
กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ตรวจพบว่าในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ถึง พ.ศ.2563 ในขณะที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า
แต่มีการใช้อำนาจผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในเรื่องการจัดซื้อและจัดจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร) โดยผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ.2498 โดยไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
คณะกรรมการดังกล่าวได้จัดทำรายงานผลการสอบสวนคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด สรุปความได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) ตามสัญญาเลขที่ อคส.ถม. 357/2563 ลงวันที่ 31 ส.ค.2563 กับบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด และออกเช็คสั่งจ่ายค่ามัดจำตามสัญญาดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับความเสียหาย เนื่องจากเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ
และผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ปรากฏกรณีในทางสอบสวนว่า พยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า ในขณะเกิดเหตุ มีพฤติการณ์ในลักษณะตัวการเกี่ยวข้องกับการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
แต่เนื่องจากตามคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 106/2564 ลงวันที่ 11 พ.ค.2564 มีผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าเป็นผู้สั่งแต่งตั้ง ซึ่งผู้อำนวยการ มีอำนาจในการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกับพนักงานองค์การคลังสินค้าที่อยู่ในบังคับบัญชาของผู้อำนวยการเท่านั้น
แต่ในกรณีประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าหรือกรรมการองค์การคลังสินค้า ซึ่งเป็นกรรมการรู้วิสาหกิจ นั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีการกำหนดไว้โดยชัดเจนในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ว่า ผู้ใดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในกรณีนี้
แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในกรณีน่าเชื่อว่า ความเสียหายต่อหน่วยงานของรัฐเกิดจากการกระทำของกรรมการรัฐวิสาหกิจให้นำข้อ 12 ของระเบียบดังกล่าว มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งข้อ 12 กำหนดให้หากหัวหน้าหน่วยงานไม่แต่งตั้งหรือแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดโดยไม่เหมาะสม ให้รัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือกำกับดูแลหรือควบคุมการปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าวมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามที่เห็นสมควร
กรณีนี้ จึงยังไม่อาจเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหาย โดยอาศัยผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 106/2564 ลงวันที่ 11 พ.ค.2564 ได้
ฉะนั้น จึงเห็นควรให้ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าในฐานะหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เสียหายรายงานต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (รมว.พาณิชย์) ในฐานะผู้กำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าและกรรมการองค์การคลังสินค้า ตามมาตรา 13 แห่ง พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การสินค้า พ.ศ.2498 เพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในกรณีของผู้ฟ้องคดีต่อไป
กรณีจึงเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ในการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) โดยผู้ถูกพ้องคดีที่ 1 (รมว.พาณิชย์) ได้มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 86.01/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 31 พ.ค.2565 และคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 154/2565 เรื่อง แก้ไข เพิ่มเติม คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 20 ก.ย.2565
กรณีจึงถือว่าเป็นการอกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ซึ่งเป็นคำสั่งใหม่ที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเข้าแทนที่คำสั่งเดิมของผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ดังนั้น จึงมีผลให้คำสั่งเดิมถูกเพิกถอนและบังคับใช้คำสั่งใหม่ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
ต่อมา คณะกรรมการดังกล่าวได้จัดทำรายงานผลการสอบสวนคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 4 ต.ค.2565 สรุปความได้ว่า
ผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) ในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า เป็นผู้สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร) โดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ทั้งยังจงใจเจตนาปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้ง หรือกำชับให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการจงใจกระทำละเมิดจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับความเสียหาย เป็นเงินจำนวน 2,003,770,491.80 บาท เห็นควรให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในอัตราร้อยละ 20 เป็นเงินจำนวน 400,754,098.36 บาท
โดยผู้ถูกพ้องคดีที่ 1 (รมว.พาณิชย์) ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลหน่วยงานได้พิจารณาและวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ฟ้องคดี ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2565 ทั้งนี้ ตามข้อ 17 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
กรณีจึงถือว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้คำสินไหมทดแทนแล้วในวันดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะหน่วยงานผู้ได้รับความเสียหาย
จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายในอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
กล่าวคือ ภายในวันที่ 17 ต.ค.2567 แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันทำละเมิด ตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 256/2566 ลงวันที่ 19 ธ.ค.2566 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2566
ด้วยเหตุที่คำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นคำสั่งที่มีผลกระทบต่อสภาพแห่งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 คำสั่งดังกล่าวจึงมีผลบังคับผูกพันหรือใช้ยันผู้ฟ้องคดีตั้งแต่ขณะที่ได้รับแจ้ง คือ วันที่ 20 ธ.ค.2566 ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
ประกอบกับคดีนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ฟ้องคดี ซึ่งความเสียหายมีสาเหตุมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า ที่มีหน้าที่และอำนาจในการกำกับดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
กลับละเว้นไม่สั่งการและกำชับให้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงมือยางดังกล่าว ให้เป็นไปโดยถูกต้อง ผู้ฟ้องคดีจึงเกี่ยวข้องกับโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร)
และมีเหตุอันควรเชื่อว่า ความเสียหายต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มาจากกรณีการจ่ายเงิน จำนวน 2,000 ล้านบาท ตามสัญญาเลขที่ อคส.ถม. 357/2563 ลงวันที่ 31 ส.ค.2563 ซึ่งถือได้ว่าวันที่ทำสัญญาดังกล่าว คือ วันที่ 31 ส.ค.2563 เป็นวันที่เกิดภาระผูกพันแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการชำระเงินค่าผลิตถุงมือยางตามสัญญาให้แก่บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด
และเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดี ในฐานะผู้บังคับบัญชาได้กระทำละเมิดต่อผู้ถูกพ้องคดีที่ 2 เป็นเหตุให้หน่วยงานได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ ดังนั้น การใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จึงต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันทำละเมิด กล่าวคือ ภายในวันที่ 31 ส.ค.2563
ฉะนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 256/2566 ลงวันที่ 19 ธ.ค.2566 และผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2566
จึงเป็นการออกคำสั่งทางปกครอง ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 12 ประกอบมาตรา 10 และมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
และเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีกระทำละเมิดตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเมื่อการใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวอยู่ภายในอายุความ 2 ปีและ 10 ปีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว กรณีจึงไม่จำต้องพิจารณาอายุความอาญาที่ยาวกว่าอีกแต่อย่างใด
ส่วนการที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ได้มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 106/2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 11 พ.ค.2564
โดยให้คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นดำเนินการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานกรณีดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ประธานกรรมการทราบคำสั่ง แล้วสรุปสำนวนการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด พร้อมเสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
คณะกรรมการ จึงต้องจัดทำรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและเสนอต่อผู้อำนวยการองค์การคลังสิบค้าอย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 11 ก.ค.2564 (หรือในกรณีที่มีการขยายระยะเวลาการพิจารณาและจัดทำรายงานออกไปอีก 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดระยะเวลาการสรุปสำนวนกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2564)
ดังนั้น ถือได้ว่าผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้ารู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมอย่างช้าที่สุดไม่เกินวันที่ 10 ส.ค.2564 แล้ว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 256/2566 ลงวันที่ 19 ธ.ค.2566 จึงเป็นการออกคำสั่งที่พ้นกำหนดเวลา 2 ปี ตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด พ.ศ.2539 นั้น
เห็นว่า การกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามข้อ 8 วรรคสี่ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
เป็นกรณีที่ให้อำนาจหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการโดยกำหนดระยะเวลาเร่งรัดในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการสอบข้อเท็จจริงตามเป้าหมายด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว และเพื่อไม่ให้เรื่องดังกล่าวขาดอายุความ
หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดอาจต้องรับผิดต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา หรือเป็นมาตรการภายในของฝ่ายปกครองเท่านั้น ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดี จึงไม่อาจรับพังได้
@‘ผลสอบฯ’ระบุ‘สุชาติ’ริเริ่ม-‘สั่งการ’จัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน
กรณีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อมาว่า ผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) กระทำละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 หรือไม่ หากกระทำละเมิด ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เพียงใด
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ...ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อครั้งผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) ได้ทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) สัญญาเลขที่ อคส.ถม. 357/2563 ลงวันที่ 31 ส.ค.2563 กับบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จากนั้น
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้อำนวยการการคลังสินค้า ได้มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 106/2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 11 พ.ค.2564
กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ตรวจพบว่าในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ถึง พ.ศ.2563 ในขณะที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การการคลังสินค้า
แต่มีการใช้อำนาจผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในกรณีโครงการจัดซื้อและจัดจำหน่ายถุงมือย่าง (ในไตร) โดยผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ.2498 โดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
คณะกรรมการตั้งกล่าว ได้จัดทำรายงานผลการสอบสวนคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดสรุปความได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับความเสียทาย เนื่องจากเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ ไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย
และผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ปรากฎกรณีในทางสอบสวนว่า มีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ฟ้องคดี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าในขณะเกิดเหตุ มีพฤติการณ์ในลักษณะตัวการเกี่ยวข้องกับการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
แต่เนื่องจากตามคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 106/2564 ลงวันที่ 11 พ.ค.2564 มีผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าเป็นผู้สั่งแต่งตั้ง ซึ่งผู้อำนวยการมีอำนาจในการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกับพนักงานองค์การคลังสินค้าที่อยู่ในบังคับบัญชาของผู้อำนวยการเท่านั้น
กรณีประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าหรือกรรมการองค์การคลังสินค้า ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ นั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด พิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีการกำหนดไว้โดยชัดเจนในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ว่า ผู้ใดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในกรณีนี้
แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยไว้ ในกรณีน่าเชื่อว่าความเสียหายต่อหน่วยงานของรัฐ เกิดจากการกระทำของกรรมการรัฐวิสาหกิจ ให้นำข้อ 12 ของระเบียบดังกล่าว มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ซึ่งข้อ 12 กำหนดให้ หากหัวหน้าหน่วยงานไม่แต่งตั้งหรือแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดโดยไม่เหมาะสม ให้รัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือกำกับดูแลหรือควบคุมการปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าว มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามที่เห็นสมควร
ภายหลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 86.01/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 31 พ.ค.2565 และคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 154/2565 เรื่อง แก้ไข เพิ่มเติม คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 20 ก.ย.2565
และปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานผลการสอบสวนคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดว่า สัญญาซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) ฉบับลงวันที่ 31 ส.ค.2563 ระหว่างบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ เป็นผู้ลงนามในสัญญา ในฐานะรักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า
อันเป็นการตกลงซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) ราคาซื้อกล่องละ 225 บาท จำนวน 500 ล้านกล่อง เป็นเงินจำนวน 112,500 ล้านบาท โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า
เนื่องจากผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า มีอำนาจในวงเงินครั้งละไม่เกิน 25 ล้านบาท ในกรณีวงเงินเกิน 25 ล้านบาท แต่ไม่เกินวงเงิน 50 ล้านบาท ให้เสนอขออนุมัติต่อประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า และถ้าวงเงินเกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอต่อคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ทั้งนี้ ตามข้อ 3 และข้อ 4 ของข้อบังคับองค์การคลังสินค้า ว่าด้วยการค้าข้าว พืชผล และสินค้าต่างๆ เพื่อการค้าปกติ พ.ศ.2526
อันเป็นการทำสัญญาโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เสียเปรียบ โดยไม่ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา ซึ่งมีข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จ่ายเงินค่ามัดจำตามสัญญาให้บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ เป็นเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท ภายใน 3 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา และได้มีการเบิกจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวไป
แต่ข้อสัญญากลับกำหนดให้บริษัทผู้ขายชำระเงินหลักประกันสัญญา 200 ล้านบาท ภายใน 7 วันทำการ นับแต่วันที่ทำสัญญา อันเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) จ่ายเงินจำนวน 2,000 ล้านบาทไปแล้ว โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 2 ก.ย.2563
การดำเนินการในแต่ละขั้นตอน จึงไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่กำหนดและมีลักษณะดำเนินการด้วยความเร่งรีบผิดปกติ เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับความเสียหายจากการที่บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ไม่คืนเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท ดังกล่าว
รวมถึงเสียผลประโยชน์ที่จะได้รับ หากไม่มีการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากก่อนครบกำหนดมาเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการทำสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 3,770,491.89 บาท รวมความเสียหายทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 2,003,770,491.80 บาท
คณะกรรมการดังกล่าว พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าในขณะนั้น และเป็นผู้สั่งการให้นายเกียรติขจร แซ่ไต่ และพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ดำเนินโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร)
โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าโครงการดังกล่าว เป็นนโยบายของรัฐมนตรี และขณะนั้นมีผู้ต้องการซื้อถุงมือยางจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นจำนวนมาก โดยผู้ฟ้องคดี เป็นผู้ประสานงานและติดต่อทั้งบริษัทที่จะซื้อและบริษัทที่จะขายถุงมือยางให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
คำชี้แจงของนายเกียรติขจร และพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ เชื่อได้ว่า กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การประสานงาน การทำสัญญา การไปตรวจสอบที่ตั้งของบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด หรือการจัดสรรโควตาการจำหน่ายถุงมือยางให้กับบริษัทที่จะซื้ออยู่ในความรับรู้ของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากได้รับการรายงานการดำเนินการจากนายเกียรติขจร และพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ในทุกขั้นตอน
และจากการสอบสวนปรากฏว่า บุคคลภายนอกที่ผู้ฟ้องคดีได้ประสานงานเกี่ยวกับการจัดซื้อ และจำหน่ายถุงมือยางที่มีบทบาทสำคัญในการประสานงานการดำเนินโครงการนี้ คือ นายเอี่ยว (นายศรายุทธ สายคำมี) อีกทั้ง ผู้ฟ้องคดีได้ยอมรับในคำชี้แจงด้วยว่า นายเอี่ยว เป็นบุคคลคนหนึ่งในหลายคนที่เข้ามาติดต่อธุรกิจซื้อขายกับผู้ถูกฟ้องที่ 2 และได้มาพบตน แต่ตามคำชี้แจงของนายเกียรติขจร กลับให้ถ้อยคำว่า นายเอี่ยวไม่เคยเป็นคู่ค้ากับผู้ฟ้องคดีที่ 2 มาก่อน
กรณีจึงเชื่อว่าโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยางเกิดจากการสั่งการของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากนายเกียรติขจรให้ถ้อยคำในทำนองว่า พบเจอกับนายเอี่ยวในห้องทำงานของผู้ฟ้องคดีหลายครั้ง และนายเอี่ยวเป็นผู้ที่นำเอกสารตัวอย่างสัญญาต่างๆ มาให้นายเกียรติขจรเพื่อดำเนินการด้วย
นอกจากนี้ พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ได้ชี้แจงสอดคล้องกับนายเกียรติขจรเช่นกันว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2563 พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ และนายเกียรติขจรได้ไปพบผู้ฟ้องคดี และพบนายเอี่ยวอยู่ในห้องทำงานของผู้ฟ้องคดีด้วย และอีกหลายเหตุการณ์ที่บุคคลทั้งสองให้ข้อเท็จจริงว่า ได้ไปพบผู้ฟ้องคดีและพบเจอนายเอี่ยว
อีกทั้ง ยังปรากฏข้อพิรุธของผู้ฟ้องคดีที่ยิ่งสนับสนุนให้เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีเกี่ยวข้องกับโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยางในครั้งนี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 25 ส.ค.2563 ที่พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ได้ลงนามในสัญญากับบริษัทที่จะซื้อถุงมือยางจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จำนวน 3 บริษัท แล้ว
ในวันรุ่งขึ้นก็ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางสอบสวน จากเทปบันทึกเสียงการประชุมคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2563 และตามคำชี้แจงของพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์
กล่าวคือ พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ได้กล่าวในที่ประชุมในช่วงท้ายของการประชุมที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทราบเรื่องเกี่ยวกับโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยางมาก่อน มิเช่นนั้นแล้ว คงจะไม่พูดตอบพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ในทำนองว่า เรื่องนี้เป็นความลับและให้เก็บไว้ก่อน
ประกอบกับ การที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวในที่ประชุมว่า หากเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ก็สามารถดำเนินการไปได้เลยโดยไม่ต้องเสนอคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ก็สอดรับกับถ้อยคำของนายเกียรติขจรและพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ที่ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ได้ดำเนินการทำสัญญามูลค่า จำนวน 112,500 ล้านบาท ตามสัญญาซื้อขายถุงมือยางเลขที่ อคส.ถม. 357/2563 ลงวันที่ 31 ส.ค.2563 และรายงานให้ผู้ฟ้องคดีทราบ โดยผู้ฟ้องคดียังได้ดำเนินการสั่งการในขั้นตอนการตรวจสอบสินค้าที่จะส่งมอบอีกด้วย
คณะกรรมการพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏสามารถรับฟังได้ว่า ความเสียหายเกิดจากกระทำของผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ย่อมต้องรู้อำนาจหน้าที่ของตนว่า ไม่สามารถดำเนินการใดๆ โดยลำพังได้
การที่ผู้ฟ้องคดีสั่งการให้มีการดำเนินโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ในไตร) จึงเป็นการกระทำไปโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย แต่อาศัยความเป็นผู้บังคับบับบัญชาที่สามารถให้คุณให้โทษกับพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ และนายเกียรติขจร โดยสั่งการให้ดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการก่อให้เกิดการกระทำความผิด
ประกอบกับข้อเท็จจริง รวมถึงการให้ถ้อยคำของพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ และนายเกียรติขจร ที่ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ผู้ฟ้องคดีทราบอยู่แล้วว่า จะมีการทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) โดยไม่นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า
แต่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าที่มีหน้าที่และอำนาจในการกำกับดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กลับละเว้นไม่สั่งการและกำชับให้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับโครงการจัดซื้อถุงมือยางดังกล่าวให้เป็นไปโดยถูกต้อง ผู้ฟ้องคดี จึงเกี่ยวข้องกับการโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร)
และมีเหตุอันควรเชื่อว่าความเสียหายต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กรณีการจ่ายเงินค่ามัดจำนวน 2,000 ล้านบาท ตามสัญญาเลขที่ อคส.ถม. 357/2563 ลงวันที่ 31 ส.ค.2563 ตลอดจนการเสียผลประโยชน์ที่ต้องได้รับหากไม่มีการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำก่อนครบกำหนดจำนวน 3,770,491.80 บาท จึงมีความเสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 2,003,770,491.80 บาท
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดี จึงเป็นผู้ริเริ่มโครงการและสั่งการอันเป็นการก่อให้เกิดการกระทำผิด ตลอดจนเป็นผู้ติดต่อประสานงานจัดหาบริษัทเอกชน ทั้งผู้ที่มาเสนอซื้อและผู้ที่มาเสนอขายด้วยตนเอง โดยเจตนาเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทเอกชนผู้มาเสนอขาย
โดยอาศัยตำแหน่งประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ และนายเกียรติขจร สั่งการให้ดำเนินการในทุกขั้นตอน อันเป็นการสั่งการลัดขั้นตอนทำให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเร่งรีบ ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ ตลอดจนไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติของบริษัทผู้เสนอซื้อและเสนอขายก่อนดำเนินการแต่อย่างใด
ซึ่งก่อนที่พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ จะทำสัญญาเพื่อจ่ายเงิน จำนวน 2,000 ล้านบาท ให้แก่บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ผู้เสนอขายนั้น พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ก็ได้รายงานให้ผู้ฟ้องคดีรับรู้แล้ว ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีรู้ดีว่าพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ไม่มีอำนาจจ่ายเงินจำนวน 2,000 ล้านบาทได้ และรู้ดีว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยระเบียบ ข้อบังคับ และข้อกฎหมาย
แต่กลับจงใจเจตนาปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้ง หรือกำชับให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับก่อน ทั้งยังเร่งรัดให้ดำเนินการต่อไปอีก อันเป็นการก่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบ
ได้แก่ การใช้อำนาจอนุมัติของผู้อำนวยการเกินวงเงินที่กำหนดไว้ตามข้อ 3 และข้อ 4 ของข้อบังคับองค์การคลังสินค้าว่าด้วยการค้าข้าว พืชผล และสินค้าต่างๆ เพื่อการค้าปกติ พ.ศ.2522 การดำเนินการจัดซื้อสินค้าไม่เป็นไปตามข้อ 6 และข้อ 7 แห่งระเบียบขององค์การคลังสินค้า ว่าด้วยการจัดซื้อสินค้าเพื่อการค้าปกติ พ.ศ.2561
การจัดทำสัญญา โดยไม่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2535 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา การจ่ายเงินโดยไม่ปฏิบัติตามข้อ 10 ของข้อบังคับองค์การคลังสินค้าว่าด้วยการรับจ่ายและเก็บรักษาเงิน พ.ศ.2518 และการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำโดยไม่ได้ปฏิบัติตามข้อ 9 แห่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบัญชีและการเงินของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2548
@ศาลฯชี้‘อดีตปธ.อคส.’กระทำผิดทางละเมิดต้องชดใช้สินไหมฯ
เมื่อได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงดังกล่าว และพยานหลักฐานในสำนวนคดีแล้ว
เห็นว่า กรณีโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร) ระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) กับ บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด โดยตกลงซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) ราคาซื้อกล่องละ 225 บาท จำนวน 500 ล้านกล่อง เป็นเงินจำนวน 112,500 ล้านบาท โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า
โดยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า มีอำนาจในการอนุมัติวงเงินครั้งละไม่เกิน 25 ล้านบาท ในกรณีวงเงินเกิน 25 ล้านบาท แต่ไม่เกินวงเงิน 50 ล้านบาท ให้เสนอขออนุมัติต่อประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า และถ้าวงเงินเกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอต่อคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ทั้งนี้ ตามข้อ 3 และข้อ 4 ของข้อบังคับองค์การคลังสินค้า ว่าด้วยการค้าข้าว พืชผล และสินค้าต่างๆ เพื่อการค้าปกติ พ.ศ.2526 อันเป็นการทำสัญญาโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย
อีกทั้ง ยังทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เสียเปรียบ เนื่องจากไม่ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จ่ายเงินค่ามัดจำให้แก่บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด เป็นเงิน จำนวน 2,000 ล้านบ่าท ภายใน 3 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา ซึ่งได้มีการเบิกจ่ายเงิน จำนวนดังกล่าวไปแล้ว
แต่ข้อสัญญากลับกำหนดให้บริษัทผู้ขายชำระเงินหลักประกันสัญญา จำนวน 200 ล้านบาท ภายใน 7 วันทำการ นับแต่วันที่ทำสัญญา อันเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จ่ายเงินจำนวน 2,000 ล้านบาทไปแล้ว
การดำเนินการในแต่ละขั้นตอนจึงไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่กำหนดและมีลักษณะดำเนินการด้วยความเร่งรีบผิดปกติ เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับความเสียหายจากการที่บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ไม่คืนเงินเงินมัดจำ จำนวน 2,000 ล้านบาท ดังกล่าว
รวมถึงเสียผลประโยชน์ที่จะได้รับ หากไม่มีการถอบเงินจากบัญชีเงินฝากประจำก่อนครบกำหนดมาเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการทำสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 3,770,491.80 บาท รวมความเสียหายทั้งสิ้นจำนวน 2,003,770,491.80 บาท
แม้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดี ในฐานะประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยางของผู้ถูกฟ้องคดีที่ดีที่ 2 แต่อย่างใด ทั้งในเรื่องการสั่งการและการสนับสนุน
เนื่องจากผู้ฟ้องคดีในฐานะประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า มีหน้าที่ในการบริหารเชิงนโยบายและคอยติดตามกำกับดูแลภาพรวมของกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
ดังนั้น การจัดทำโครงการต่างๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานที่รับผิดชอบจะต้องเขียนแผนงานโครงการขึ้นมาก่อน เพื่อให้ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายพิจารณาอนุมัติสั่งการ และผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้านำแผนงานโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าให้ความเห็นชอบ
แต่โครงการดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ยังไม่เคยนำมาเสนอคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าพิจารณาให้ความเห็นชอบ ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจรับรู้ถึงความจงใจแสวงหาประโยชน์ที่มีควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้กระทำผิดในระดับปฏิบัติการได้
และผู้ฟ้องคดีในฐานะประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอโครงการหรือเบิกจ่ายเงิน และอนุมัติเบิกจ่ายเงินตามโครงการจัดซื้อหรือจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร) แต่อย่างใด กรณีจึงไม่ใช่การที่ผู้ฟ้องคดีจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในอันที่จะต้องรับผิดตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็ตาม
แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นคณะกรรมการข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และรายงานการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติในทำนองเดียวกันว่า ผู้ฟ้องคดี เป็นผู้สั่งการให้นายเกียรติขจร แซ่ไต่ และพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ดำเนินการโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร)
โดยผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประสานงานและติดต่อทั้งบริษัทที่จะซื้อและบริษัทที่จะขายถุงมือยางให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งจากคำชี้แจงของนายเกียรติขจร และพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์
เชื่อได้ว่า กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การประสานงาน การทำสัญญา การไปตรวจสอบที่ตั้งของบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด หรือการจัดสรรโควตาการจำหน่ายถุงมือยางให้แก่บริษัทที่จะซื้อ ล้วนอยู่ในความรับรู้ของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากได้รับการรายงานการดำเนินการ จากนายเกียรติขจรและพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ในทุกขั้นตอน
และจากการสอบสวนปรากฏว่า ยังมีบุคคลภายนอกที่ผู้ฟ้องคดีได้ประสานงานเกี่ยวกับการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยางที่มีบทบาทสำคัญในการประสานงานอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ฟ้องคดี เป็นผู้สั่งการให้พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ และนายเกียรติขจร ดำเนินการให้มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการนำเงินไปลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ได้ฝากประจำไว้ยังสถาบันการเงินไปจ่ายเป็นเงินล่วงหน้าให้แก่บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จำนวน 2,000 ล้านบาท
อีกทั้ง ผู้ฟ้องคดียังได้สั่งการในการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาสินทรัพย์ ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2563 ให้ฝ่ายเลขานุการฯจัดเตรียมคลังสินค้า หลังที่ 1 คลังราษฎร์บูรณะ จำนวน 2,400 ตารางเมตร ไว้รองรับโครงการถุงมือยาง โดยให้ประสานงานกับนายเกียรติขจร จึงแสดงให้เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีรับรู้รับทราบและได้ร่วมสั่งการให้ดำเนินการโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น
ทั้งยังเป็นการสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร) อย่างเร่งรีบ รวบรัด และลัดขั้นตอน อันเป็นการก่อให้ผู้ได้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบ ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจรับฟังได้
ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า ซึ่งมีอำนาจ และหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 รวมทั้งดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 6 และมาตรา 7 แห่ง พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ.2498 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
แต่ผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) กลับกระทำการโดยละเว้นไม่สั่งการและกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย ทั้งยังมีพฤติการณ์เป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการจัดซื้อและจัดจ้างโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมายดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับความเสียหาย
การกระทำของผู้ฟ้องคดีจึงถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ถูกพ้องคดีที่ 2 ตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายและพาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
เหล่านี้เป็นสาระสำคัญของคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางใน ‘ส่วนแรก’ ซึ่งศาลฯวินิจฉัยว่า นายสุชาติ เตชจักรเสมา ขณะดำรงตำแหน่งประธาน อคส. ได้กระทำละเมิด มีพฤติการณ์เป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการจัดซื้อและจัดจ้างโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร) จนสร้างความเสียหายให้แก่ อคส. เป็นเงินกว่า 2 พันล้านบาทเศษ!
อ่านประกอบ :
- โดน 401.3 ล้าน! ศาลปค.กลาง สั่ง 'สุชาติ' อดีตปธ.อคส.ชดใช้ค่าสินไหมคดีถุงมือยางแสนล.
- ความเห็นแย้งคดี‘ถุงมือยาง’(จบ) กระทำความผิดโดยทุจริต หาควรยกฟ้อง 21‘จำเลย’อย่างสิ้นเชิง
- ความเห็นแย้งคดี‘ถุงมือยาง’(3) จ่ายมัดจำ'การ์เดียนโกลฟส์'2 พันล.-ได้ของแค่ 2.8 หมื่นกล่อง
- ความเห็นแย้งคดี‘ถุงมือยาง’(2) พฤติการณ์‘รีบด่วนผิดปกติ’-อ้างนโยบาย‘รัฐมนตรี’เร่งทำสัญญา
- ความเห็นแย้งคดี‘ถุงมือยาง’(1) ‘อคส.’ส่ง‘รักษาการผอ.’ดีล‘การ์เดียนโกลฟส์’วางมัดจำ 2 พันล.
- ฉบับเต็ม! ยกฟ้องคดี‘ถุงมือยาง’ ไม่ปรากฏใช้‘ดุลพินิจ’ทำเสียหาย-มัดจำ 2 พันล.ไม่เสียเปรียบ
- ฉบับเต็ม! อธิบดีผู้พิพากษาเห็นแย้งยกฟ้อง! 'รุ่งโรจน์-พวก 21 คน' คดีซื้อถุงมือยาง 2 พันล.
- ยกฟ้อง! 'รุ่งโรจน์-พวก 21 คน' คดีซื้อถุงมือยางอคส. 2 พันล.-อธิบดีผู้พิพากษา เห็นแย้ง
- เพิ่งจัดตั้ง 2 ด.เศษ! เปิดตัว บ.คู่สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล.-พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ยันทำถูกต้อง
- โชว์ครบ 4 หน้า! สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล้าน-ข้อสังเกตหลักประกัน 200 ล.-ลูกค้าปริศนา?
- แกะรอยเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียนโกลฟส์ งวดแรก อยู่ที่ไหน?
- โพรไฟล์ชีวิต ‘พ.ต.อ.รุ่งโรจน์’ ผู้ลงนามสัญญาซื้อขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- แฉเหตุ 'รุ่งโรจน์' กล้าทำสัญญาขายถุงมือยางแสนล.! มีบอร์ดอคส.-นักการเมือง ปชป.ดีลลูกค้าให้
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' เบื้องลึก บ.ขายถุงมือยาง อคส.แสนล.-1 ในผู้บริหารเคยโดนแจ้งความคดีฉ้อโกง?
- พบเป็นโกดังเก็บสินค้าย่านนครปฐม! เผยโฉม บ.การ์เดียนโกลฟส์ฯ คู่สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล.
- เปิดตัว คุณเอ็ม 'ธณรัสย์ หัดศรี' เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- ภาพชุด 2! เปิดตัว 'คุณเอ็ม' เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ': เปิด 7 เอกชน จองซื้อถุงมือยาง อคส.แสนล.-บ.K สั่งล็อตใหญ่ 500 ล้านกล่อง
- MR.Abdullah Pathan ตัวแทนลอว์เฟิร์มในสหรัฐฯ สั่งซื้อถุงมือยางแสนล.มีตัวตนจริงหรือไม่?
- บ้าน 2 ชั้นย่านอุดมสุข! เปิดตัวบ.เคเค.ออยล์ ลูกค้ารายที่ 2 สั่งซื้อถุงมือยาง 1.1 หมื่นล.
- คนชื่อแอร์แนะนำ! ผู้บริหารบ.เคเคออยล์ฯ แจงทำสัญญาซื้อถุงมือยาง 1.1หมื่นล.-มีลูกค้าจริง
- รุ่นพี่ชื่อ'จ๋า'แนะนำ! เปิดตัวบ.ถนอมผลไม้ ลูกค้าอคส.รายที่ 3 ซื้อถุงมือยาง 1.1 หมื่นล.
- รายที่4! เปิดตัว Galore ลูกค้า อคส. ซื้อถุงมือยาง2.2หมื่นล.-อยู่ฟลอริดา โชว์รายได้ 2 ล.
- เจอแล้ว! บ.รายที่ 5 ซื้อถุงมือยาง2.1 หมื่นล.-แจ้งงบฯขาดทุน1.2 หมื่น-ยันมีลูกค้าตปท.จริง
- ตามไปดู บ.รายที่ 6 ซื้อถุงมือยาง อคส.2.5 พันล. พบเป็นที่ตั้งลอว์เฟิร์มย่านรัชดา
- ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง! ตัวแทน บ.ควีนฯ แจงเหตุสั่งซื้อถุงมือยาง 2.5 พันล.-คนใน.อคส.ชักชวน
- เปิดตัว บ.รายที่ 7 ซื้อถุงมือยาง 2.5 พันล.-โอดเดือดร้อน ส่งของ รบ.ท้องถิ่นแคนาดาไม่ทัน
- ล็อกเป้า 3 บ.จุดเริ่มต้นคดีถุงมือยางแสนล.! อคส.รอ DSI สอบปากคำจบตามเงินคืน 1.8 พันล.
- โชว์ใบฝากเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียนฯ-เข้าบช.กสิกรไทย บิ๊กซีนครปฐม
- เปิดเส้นทางเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียน- ณ 15 ก.ย. เหลือยอดแค่ 858 ล.
- เผยโฉมบัญชี บ.การ์เดียนฯ รับเงิน อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง 2 พันล.-ก่อน ป.ป.ช.สั่งอายัด
- แฉบ.การ์เดียนฯ ชิงถอนเงินเกือบหมด! หลังสื่อตีข่าว ป.ป.ช. สั่งอายัดบัญชีถุงมือยาง 2 พันล.
- ไม่เคยให้เงินใต้โต๊ะกับใคร! เปิดคำชี้แจง เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ ปมขายถุงมือยางแสนล้าน
- ต้องเอาเงินคืน!'จุรินทร์'ตอบปม อคส.ซื้อถุงมือยางแสนล้าน-ป.ป.ช.ระงับบัญชีแล้วบางส่วน
- เบื้องลึก 'จุรินทร์' สั่งตามเงินคืน 2 พันล.! อคส.คุ้ยหลักฐานตปท.พิสูจน์MOUซื้อถุงมือยางแสนล.
- ขมวดปม (1) ข้อสังเกตสร้างนิติกรรมสัญญา? เปิดโอกาสจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน
- โชว์ครบ 3 หน้า แปลไทยแล้ว! สัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล. 'อคส.-ลอว์เฟิร์มสหรัฐฯ'
- ผู้บริหารโดนคดีฉ้อโกงค่าอาหารที่พัก! ขมวดปม (2) ข้อมูลลับ 'การ์เดียนโกลฟส์'ในมือ อคส.
- ขมวดปม (3) ข้อสังเกตสัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล. 'อคส.-การ์เดียนโกลฟส์' เอื้อปย.เอกชน
- เปิดที่มาเงิน 2 พันล. อคส. จ่ายค่าถุงมือยาง 'ถอนจากบัญชีฝากประจำ' ไม่ขออนุญาตก.คลัง?
- เปิดคำให้การ! เบื้องหลังมติถอนเงินบัญชีฝากประจำจ่ายถุงมือยาง 2 พันล.-ไม่ผ่านบอร์ด อคส.?
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' : 9 เงื่อนปม ป.ป.ช.ลุยสอบ อคส. ทำสัญญาจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน
- สภาระอุ! หลักฐาน-คำชี้แจง'ประเสริฐ-จุรินทร์' ปมจัดซื้อถุงมือยาง
- รอ ป.ป.ช.ชี้ขาดดีกว่า! 'รุ่งโรจน์' เมิน อคส.ชงผลสอบถุงมือยางแสนล.ให้ 'จุรินทร์'
- ยังเปิดกิจการอยู่! โชว์ภาพล่าสุด บ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส. แสนล.
- ให้ปากคำ ป.ป.ช.แล้ว! ความเคลื่อนไหวล่าสุด บ.การ์เดียนฯ ขายถุงมือยางแสนล.
- แฟ้มลับคดีถุงมือยางแสนล.(1) เปิดคำให้การ บ.การ์เดียนฯ จนท. 'ก.' มาดีลงานถึงที่
- โวย อคส.ชวนมาซื้อแต่โดนคดีทุจริต! อนุฯ ป.ป.ช.แจ้งข้อหา จนท.รัฐ-เอกชนปมถุงมือยางแสนล.
- ลับสุดยอด! ภาพชุด จนท.อคส. เปิดคลังรับสินค้า บ.การ์เดียนฯ จุดเริ่มต้นคดีถุงมือยางแสนล.
- รีวิวครั้งแรก! เผยโฉมถุงมือยางแสนล้าน อคส.ทำสัญญาซื้อ บ.การ์เดียนฯ - ใครผลิต?
- เบื้องหลัง! ภาพชุดเปิดคลังรับสินค้าถุงมือยางแสนล.- บิ๊ก อคส. สั่งจัดฉากโชว์ของตัวอย่าง?
- คู่สัญญาถุงมือยางแสนล. 'อคส.' เปลี่ยนชื่อใหม่ - ออกสื่อPR.ข่าวแผนธุรกิจงานหมื่นตำแหน่ง
- อคส. หัก บ.การ์เดียนฯ สั่งคืนถุงมือยางแสนล.! ‘อิศรา’ บุกคลังสินค้าขอดูของ จนท.ไม่ให้
- ขอริบเงิน 2,000 ล.! บ.การ์เดียนฯ โต้กลับ อคส. ชิงบอกเลิกสัญญาถุงมือยางแสนล้าน
- หลักฐานใหม่ 'ศรีตรัง-ซันไทย' ไม่รู้เรื่องถูกใช้เอกสารแนบทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล.
- เจาะผลสอบถุงมือยางแสนล.(1) เริ่มต้นห้อง บิ๊ก อคส.-นาย อ.จัดให้คำสั่งซื้อลอว์เฟิร์มสหรัฐ
- เจาะผลสอบถุงมือยางแสนล.(2) บทบาทผู้บริหาร อคส.ปริศนา สั่งหาช่องทำสัญญา-จ่ายเงินสองพันล.
- ถ้าบอกทุจริตจะสู้หัวชนฝา! ป.ป.ช. เรียก รุ่งโรจน์ แจ้งข้อกล่าวหาถุงมือยางแสนล. 28 พ.ค.
- เผยหนังสือลับคดีถุงมือยางแสนล.! อนุฯ ไต่สวน ป.ป.ช. แจ้งขอหลักฐานแต่งตั้ง ปธ.บอร์ด อคส.
- กลับไปใช้ชื่อเก่า! บ.การ์เดียนฯ ถุงมือแสนล. อคส.แจ้งเปลี่ยนรอบ2-ยังไม่โชว์งบการเงิน
- พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ยื่นหนังสือลาออกแต่โดนเบรก - ขอแสดงความรับผิดชอบถุงมือยางแสนล.!
- กางระเบียบ อคส.! ทางเดียว 'รุ่งโรจน์' ลาออกได้ ต้องเป็น 'ผู้บริสุทธิ์' คดีถุงมือยางแสนล.
- ขีดเส้น 'รุ่งโรจน์' ให้ปากคำสอบวินัยร้ายแรงถุงมือยาง-ถ้าโดนไล่ออกเจอฟ้องคืนเงินด.หลักล้าน!
- ระทึก! บอร์ด อคส. ทั้งคณะ จ่อโดนสอบความรับผิดทางละเมิดคดีถุงมือยางแสนล้าน
- สรุปผลสอบคดีละเมิดถุงมือยาง โดนชี้ 7 ราย 'สุชาติ-รุ่งโรจน์-เกียรติขจร-มูรธาธร-จนท.อีก 3'
- พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ : The Last Dance ท่าที-แนวทางต่อสู้ คดีถุงมือยางแสนล.
- 'จุรินทร์'เผยผลสอบ กก.ลงโทษทางวินัยร้ายแรงไล่ออกราชการ 3 คนเอี่ยวคดีถุงมือยาง
- เป็นทางการ! บอร์ด อคส. ลงมติไล่ออก 'รุ่งโรจน์-เกียรติขจร -มูรธาธร' คดีถุงมือยางแสนล.
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' เปิดสำนวน คกก.วินัยร้ายแรง มติเอกฉันท์ไล่ออก 'รุ่งโรจน์-พวก' คดีถุงมือยาง
- โชว์คำสั่งไล่ออก จนท.อคส.คดีถุงมือยางแสนล.-กรณี 'รุ่งโรจน์' แจ้งปลัดสำนักนายกฯ แล้ว
- ไต่สวนคดีถุงมือยาง อคส. แสน ล.เสร็จแล้ว! เตรียมส่ง กก.ป.ป.ช.ชี้ขาด
- มีชื่อบิ๊กในบอร์ด อคส.ด้วย! ป.ป.ช.ขีดเส้นสรุปสำนวนไต่สวนคดีถุงมือยางแสนล.ก่อนสิ้นปีนี้
- รัฐมนตรีไม่โดน! ป.ป.ช.ชี้มูลคดีจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน อคส.-มีผู้ถูกกล่าวหา 21 คน
- โดนจริง 22 คน! เจาะมติป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยางอคส.-'มูรธาธร' มือจ่ายเช็ค2พันล.รอดอาญา
- ได้มาแล้ว! เปิดครบ 22 ชื่อผู้ถูกกล่าวหา คดีถุงมือยาง 'รุ่งโรจน์-สุชาติ-ธณรัสย์' โดนหมด
- ยังไม่เลิกกิจการ! ข้อมูลล่าสุด บ.ถนอมผลไม้ถูกชี้มูลคดีถุงมือยาง เจ้าของออเดอร์1.1หมื่นล.
- พร้อมสู้! 'รุ่งโรจน์-ธณรัสย์' แจงถูก ป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยาง ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม
- ข้อมูลใหม่! มติ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยาง อคส. ขอให้ริบทรัพย์เงิน 550 ล.-ที่ดิน 33 ไร่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา