
“…กรณีจึงถือว่าคณะกรรมการฯ ได้ให้โอกาสผู้ฟ้องคดี ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริงและโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรมตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ประกอบข้อ 15 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 แล้ว…”
......................................
จากกรณีที่ ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1972/2567 คดีหมายเลขแดงที่ 1941/2568 ซึ่งเป็นคดีที่ นายสุชาติ เตชจักรเสมา อดีตประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) (ผู้ฟ้องคดี) ยื่นฟ้อง รมว.พาณิชย์ และ องค์การคลังสินค้า (อคส.) (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2)
กรณีมีคำสั่งให้นายสุชาติ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ อคส. ในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายทั้งหมด คิดเป็นเงินจำนวน 400,754,098.36 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รับแจ้งคำสั่ง
อันเป็นผลสืบเนื่องจากที่ นายสุชาติ ได้สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินโครงการจัดซื้อถุงมือบางมูลค่าแสนล้านบาทกับ บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ซึ่งมีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปก่อนวงเงิน 2,000 ล้านบาท แต่การดำเนินโครงการถูกตรวจสอบพบปัญหาไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทำให้ อคส.ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 2,003,770,491.80 บาท นั้น (อ่านประกอบ : โดน 401.3 ล้าน! ศาลปค.กลาง สั่ง 'สุชาติ' อดีตปธ.อคส.ชดใช้ค่าสินไหมคดีถุงมือยางแสนล.)
โดยตอนที่แล้ว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเสนอคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางในคดี ในส่วนแรก โดยศาลฯได้วินิจฉัยว่า นายสุชาติ ขณะดำรงตำแหน่งประธาน อคส. ได้กระทำละเมิด มีพฤติการณ์เป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการจัดซื้อและจัดจ้างโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง (ไนไตร)
และจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่กำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ จนสร้างความเสียหายให้แก่ อคส. เป็นเงินกว่า 2,000 ล้านบาท (อ่านประกอบ : คดีถุงมือยาง(1)‘ศาลปค.’ชี้‘อดีตปธ.บอร์ด’มีพฤติการณ์เป็น‘ผู้สั่งการ’-จงใจทำ‘อคส.’สูญ 2 พันล.)
ในตอนนี้ สำนักข่าวอิศรา ขอนำเสนอคำวินิจฉัยของศาลฯในส่วนสุดท้าย ซึ่งศาลฯได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า นายสุชาติ ต้องรับผิดขอใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ อคส. เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ จากการกระทำละเมิดฯในครั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้
@ชี้‘สุชาติ’ปธ.บอร์ด‘อคส.’ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมฯ 400 ล้าน
กรณีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อมาว่า ผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) ต้องรับผิดขอใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) เพียงใด
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า .... เมื่อได้วินิจฉัยไปแล้วว่าพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการขอะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า)
แต่กลับจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่กำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
ทั้งยังมีพฤติการณ์เป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการจัดซื้อและจัดจ้างโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกพ้องคดีที่ 2 จึงเป็นความผิดเฉพาะส่วนของผู้ฟ้องคดี มิใช่ความผิดหรือความบกพร่องของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 หรือระบบการดำเนินงานส่วนรวม
ศาลจึงไม่จำต้องหักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าวออก ตามมาตรา 8 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
และเมื่อพิจารณาจากระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดของผู้ฟ้องคดีแล้วเห็นว่า การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในการทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) มีสาเหตุมาจากการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องดำเนินการตามระเบียบและข้อบังคับที่กำหนดไว้
แต่ปรากฏว่า ไม่ได้มีการดำเนินการขออนุมัติให้ถูกต้อง ไม่มีการตั้งคณะกรรมการใดๆ อันเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ และปรากฎพฤติการณ์ว่าผู้ฟ้องคดีเข้าไปเกี่ยวข้องในส่วนสำคัญ โดยสั่งการให้ดำเนินการจัดซื้อและจัดจ้างโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ทั้งยังปล่อยปละละเลย ไม่ระงับยับยั้งหรือกำชับให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ
จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในทำนองเดียวกับเจ้าหน้าที่ผู้ต้องรับผิดในกลุ่มผู้ดำเนินโครงการจัดซื้อและจำหน่ายถุงมือยาง ทั้งผู้สั่งการ ผู้จัดทำ ผู้อนุมัติ ผู้จ่ายเงิน ซึ่งกลุ่มนี้ต้องรับผิดในสัดส่วนร้อยละ 80 โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้กระทำความเสียหายที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจำนวน 4 คน
จึงให้ผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักเสมา) รับผิดในสัดส่วนร้อยละ 20 ของเงินจำนวน 2,003,770,491.80 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 400,755,098.36 บาท
ดังนั้น คำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 256/2566 ลงวันที่ 19 ธ.ค.2566 ที่ให้ผู้ฟ้องคดี ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในอัตราร้อยละ 20 เป็นเงิน จำนวน 400,755,098.36 บาท จึงเป็นธรรมและเป็นคุณแก่ผู้ฟ้องคดียิ่งแล้ว กรณีจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า การพิจารณาสัดส่วนความรับผิดทางละเมิด โดยให้ผู้ฟ้องคดี รับผิดร้อยละ 20 ของความเสียหายทั้งหมด นั้น ไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายก ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2528
กล่าวคือ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ได้กำหนดสัดส่วนรับความผิด ในกรณีไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ ให้ฝ่ายการเงินต้องรับผิดร้อยละ 60 ของความเสียหาย ส่วนผู้บังคับบัญชาหรือผู้ผ่านงาน กำหนดให้รับผิดร้อยละ 20 และผู้อนุมัติการจ่ายเงินกำหนดให้รับผิดร้อยละ 20 ซึ่งผู้ฟ้องคดีมิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติงานหรือเป็นผู้อนุมัติให้มีการเบิกจ่ายเงินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 แต่อย่างใด นั้น
เห็นว่า การจะให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นเงินจำนวนเท่าใด จะต้องคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์ โดยมิต้องให้ใช้เต็มจำนวนของความเสียหายก็ได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
ประกอบกับเมื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสัดส่วนความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0406.2/ว.66 ลงวันที่ 25 ก.ย.2550 ซึ่งได้กำหนดแนวทางการกำหนดสัดส่วนความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ กรณีไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบ
ในลักษณะความเสียหายข้อ 1 การจัดจ้าง/จัดซื้อราคาแพง 1.1 วิธีการจัดซื้อ/จัดจ้าง ไม่ถูกต้อง โดยกำหนดให้ผู้บังคับบัญชารับผิดชดใช้ค่าเสียหายร้อยละ 20 ของความเสียหายที่เกิดขึ้น
ดังนั้น เมื่อความเสียหายที่ผู้ถูกพ้องคดีที่ 2 ที่ได้รับเป็นผลมาจากการทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง (ไนไตร) โดยพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ เป็นผู้ลงนามในสัญญาในฐานะรักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า โดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ และข้อบังคับที่กำหนดและมีลักษณะดำเนินการด้วยความเร่งรีบผิดปกติ
แม้ พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ.2498 ไม่ได้กำหนดหน้าที่และอำนาจของประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าไว้เป็นการเฉพาะ แต่ได้กำหนดหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าไว้ในมาตรา 17 ว่า
ให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 21 และมาตรา 25 แห่ง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว
ส่วนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้ามีหน้าที่จัดการและดำเนินกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้เป็นไปตามนโยบายและข้อบังคับของคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.ฎ.เดียวกัน จึงเป็นการปฏิบัติงานภายใต้การควบคุมดูแลหรือกำกับดูแลของคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า
ดังนั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีซึ่งตำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า โดยถือเป็นหนึ่งในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าในขณะนั้น ย่อมมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลหรือกำกับดูแล ซึ่งอาจเปรียบได้ในทำนองใกล้เคียงกับอำนาจในการบังคับบัญชาการปฏิบัติงาน หรือการดำเนินกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าให้เป็นไปโดยถูกต้อง ตามระเบียบและกฎหมาย
แต่ผู้ฟ้องคดีกลับปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งหรือกำชับให้ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
อีกทั้ง ผู้ฟ้องคดีได้เข้าไปเกี่ยวข้องในส่วนสำคัญ โดยเป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการจัดซื้อและจัดจ้าง โดยไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการ และกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับความเสียหาย อันมีลักษณะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดอีกด้วย
ดังนั้น คำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 256/2566 ลงวันที่ 19 ธ.ค.2566 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีชำระค่าสินไหมหดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายจำนวน 2,003,770,491.80 บาท เป็นเงินจำนวน 400,755,098.36 บาท จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วย กฎหมายแล้ว ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจรับฟังได้
@การพิจารณาของ‘คณะกรรรมการสอบฯ’ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (รมว.พาณิชย์) รับฟังพยานหลักฐานและมีคำสั่ง โดยเชื่อถือคำให้การของนายเกียรติขจร แซ่ไต่ และพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาในกรณีนี้ และเป็นคำกล่าวหาที่เป็นคำซัดทอดแบบเลื่อนลอย ไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือสั่งการของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด
และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่ได้นำหนังสือของนายเกียรติขจร ตามหนังสือที่ อคส.สขจ.12000/186 ลงวันที่ 28 ส.ค.2563 และรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการนำเงินไปลงทุน ที่พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ได้ยืนยันว่า ตนมีอำนาจตามกฎหมาย
จึงไม่มีการนำโครงการดังกล่าว เข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ตามระเบียบและข้อบังคับของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) มาพิจารณาหักล้างคำให้การซัดทอดของนายเกียรติขจรและพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ แต่อย่างใด การรับฟังพยานหลักฐานอันนำไปสู่การออกคำสั่งพิพาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้น
เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (รมว.พาณิชย์) มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 86.01/2565 ลงวันที่ 31 พ.ค.2565 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
และคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 154/2565 ลงวันที่ 20 ก.ย.2565 แก้ไข เพิ่มเติมคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ซึ่งการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบว่า มีการกระทำละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่ มีเจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย อันเนื่องมาจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ เจ้าหน้าที่ผู้ต้องรับผิดจะต้องรับผิดชดใช้เป็นเงินจำนวนเท่าใด ในกรณีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดหลายคน แต่ละคนจะมีสัดส่วนความรับผิดอย่างไร
และความเสียหายที่เกิดขึ้นหน่วยงานของรัฐมีส่วนบกพร่องด้วยหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวย่อมมีอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวง รับฟังพยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ และตรวจสอบเอกสาร วัตถุ หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเสนอความเห็นต่อผู้แต่งตั้งเกี่ยวกับผู้ต้องรับผิดและจำนวนค่าสินไหมทดแทน ทั้งนี้ ตามข้อ 14 วรรคหนึ่ง ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามคำสั่งดังกล่าว ได้มีการเชิญนายเกียรติขจรและพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ในฐานะที่เป็นผู้เกี่ยวข้องและเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการฯ
กรณีจึงเห็นได้ว่า นายเกียรติขจรและพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ เป็นพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีโอกาสรู้เห็น และรับรู้ข้อเท็จจริงในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโครงการพิพาท รวมถึงมีโอกาสจดจำและนำเรื่องราวเหตุการณ์มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการฯ
คณะกรรมการฯ จึงมีอำนาจรับฟังพยานบุคคล รายนายเกียรติขจรและพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ได้ ตามข้อ 14 วรรคหนึ่ง ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
อีกทั้ง ในรายงานผลการสอบสวนฉบับลงวันที่ 4 ต.ค.2565 ยังปรากฎพยานบุคคลรายอื่นและพยานเอกสารอื่นอีกจำนวนมาก รวมทั้งยังปรากฏว่า มีการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนังสือ ที่ อคส. สขจ.12000/186 ลงวันที่ 28 ส.ค.2563 และรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการนำเงินไปลงทุน ที่คณะกรรมการใช้รับฟังเพื่อประกอบการพิจารณาเสนอความเห็นต่อผู้แต่งตั้ง ซึ่งก็คือผู้ฟ้องคดี
กรณีจึงมิใช่กระบวนการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจรับฟังได้
@ศาลฯชี้‘คกก.สอบฯ’ให้โอกาสชี้แจง-โต้แย้ง‘เพียงพอ-เป็นธรรม’
ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ไม่ให้โอกาสแก่ผู้ฟ้องคดีได้ชี้แจงโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานเกี่ยวกับเทปบันทึกเสียงในตอนท้ายของการประชุมคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2563 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทราบเรื่องเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว มิเช่นนั้นแล้วคงจะไม่พูดตอบพันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ ในทำนองว่า เรื่องนี้เป็นความลับ และให้เก็บไว้ก่อน
และนำเทปบันทึกเสียงมาใช้ประกอบเป็นเหตุผลให้ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิด เนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีข้อคำถามเกี่ยวกับเทปบันทึกเสียงที่มีการกล่าวหาผู้ฟ้องคดีดังกล่าวอยู่ในบัญชีคำถามแนบท้ายหนังสือองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ อคส. 1074/3923 ลงวันที่ 22 ส.ค.2565 เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่มีโอกาสชี้แจงโต้แย้งหรือแสดงพยานหลักฐาน
อีกทั้ง ข้อความในเทปบันทึกเสียงดังกล่าว ไม่มีอยู่ในวาระการประชุมหรืออยู่ในรายงานการประชุมที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและรับรองข้อความแต่อย่างใด จึงถือว่าเป็นข้อความที่ไม่เป็นความจริง
โดยในการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่ามีการกล่าวอ้างถึงเทปบันทึกเสียงดังกล่าว และเทปบันทึกเสียงไม่เคยได้รับการตรวจสอบและไม่เคยมีหน่วยงานราชการใดรับรองว่าเทปบันทึกเสียงนั้นมีอยู่จริง
ดังนั้น การรับฟังพยานหลักฐานและมีคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 30 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 นั้น
เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดได้มีหนังสือองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ อคส. 1074/3562 ลงวันที่ 3 ส.ค.2565 เชิญให้ถ้อยคำตามคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 86.01/2565 ลงวันที่ 31 พ.ค.2565
โดยแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีมาพบคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงและให้ถ้อยคำชี้แจงในฐานะผู้เกี่ยวข้องกับความเสียหาย และเปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีให้ถ้อยคำชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการฯ ในวันที่ 15 ส.ค.2565
ภายหลัง ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือลงวันที่ 8 ส.ค.2565 แจ้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดว่า ในวันดังกล่าวผู้ฟ้องคดีติดภารกิจนัดหมายล่วงหน้า ไม่สามารถไปรับทราบข้อเท็จจริงและให้ถ้อยคำได้ ขอให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดสรุปเป็นประเด็นคำถามและผู้ฟ้องคดีจะตอบเป็นหนังสือ
จากนั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดได้มีหนังสือนำส่งประเด็นคำถามให้ผู้ฟ้องคดีตามหนังสือองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ อคส.1075/3923 ลงวันที่ 22 ส.ค.2565 โดยให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมพยานหลักฐานภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือฉบับนี้ ต่อมา เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2565 ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการฯ
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า การที่คณะกรรมการฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีมาให้ถ้อยคำชี้แจงข้อเท็จจริง ในฐานะผู้เกี่ยวข้องกับความเสียหายได้ทราบถึงสิทธิในการชี้แจงข้อเท็จจริง และแสดงพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการฯ ในวันที่ 15 ส.ค.2565
แต่ผู้ฟ้องคดี ไม่สามารถมาให้ถ้อยคำในวันดังกล่าวได้ จึงมีหนังสือขอให้คณะกรรมการฯ สรุปเป็นประเด็นคำถามและผู้ฟ้องคดีจะตอบเป็นหนังสือชี้แจง ซึ่งต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือชี้แจงประเด็นคำถามต่างๆ ดังกล่าว
เมื่อได้พิจารณาถ้อยคำของผู้ฟ้องคดีที่ให้ต่อคณะกรรมการฯ ดังที่ปรากฏในบันทึกการสอบสวน เรื่อง สอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ฉบับลงวันที่ 4 ต.ค.2565 โดยตลอดแล้ว
ปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้ให้ถ้อยคำสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีในฐานะประธานกรรมการองค์การคลังสินค้ามีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่มีอำนาจบริหารหรือสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ใดๆ จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับโครงการพิพาทแต่อย่างใด
โดยในการจัดทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กับบริษัทเอกชน ล้วนเกิดจากการกระทำของนายเกียรติขจร แซ่ไต่ ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการขายและจัดจำหน่ายอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า คือ พันตำรวจเอก รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้บังคับบัญชาที่จะมีอำนาจสั่งการหรือมอบหมายให้นายเกียรติขจรไปฏิบัติหน้าที่ใด ผู้ฟ้องคดี ไม่ใช่ผู้สั่งการและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
กรณีจึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้ตระหนักรู้ในการชี้แจงต่อคณะกรรมการฯ ว่า คณะกรรมการฯ เรียกให้ผู้ฟ้องคดีให้ถ้อยคำ และชี้แจง ในฐานะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กล่าวคือ ในฐานะประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าในขณะเกิดเหตุ มิใช่ในฐานะพยาน ผู้รู้เห็นเหตุการณ์
กรณีจึงถือว่าคณะกรรมการฯ ได้ให้โอกาสผู้ฟ้องคดี ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริงและโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรมตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ประกอบข้อ 15 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 แล้ว
นอกจากนั้น หลังจากผู้ฟ้องคดีให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการฯ ผู้ฟ้องคดีก็มิได้เสนอพยานหลักฐานใดเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการฯ ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้แต่อย่างใด
และเนื่องจากกรณีนี้ เป็นเพียงการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด มิใช่การสอบสวนพิจารณาข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ที่จะต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน ที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบก่อนทำการสอบสวน ตามมาตรา 102 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535
คณะกรรมการฯ จึงไม่จำต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ผู้ฟ้องคดีทราบก่อนให้ผู้ฟ้องคดีให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการฯ แต่อย่างใด
กรณีจึงยังไม่อาจถือได้ว่า การรับฟังพยานหลักฐานและมีคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่ชอบด้วยมาตรา 30 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ประกอบข้อ 15 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
และแม้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า คณะกรรมการฯ จะนำเอาเทปบันทึกเสียง ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ให้โอกาสผู้ฟ้องคดีได้ชี้แจง และแสดงพยานหลักฐานเกี่ยวกับเทปบันทึกเสียง และเทปบันทึกเสียงดังกล่าวไม่มีอยู่ในวาระการประชุมหรืออยู่ในรายงานการประชุมที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและรับรองข้อความแต่อย่างใด มาใช้อ้างอิงและสรุปสำนวนการสอบสวนแล้วเสนอผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็ตาม
ก็เป็นเพียงการรับฟังประกอบพยานหลักฐานของคณะกรรมการฯ เท่านั้น มิใช่ข้อสาระสำคัญถึงขนาดทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อีกทั้ง ในรายงานผลการสอบสวนฉบับลงวันที่ 5 ต.ค.2565 ยังปรากฎพยานบุคคลรายอื่นและพยานเอกสารอื่นอีกจำนวนมากที่คณะกรรมการฯ นำมาพิจารณาเพื่อทำความเห็นเสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิใช่พิจารณาเพียงเทปบันทึกเสียงดังกล่าว และนำมาออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดแต่อย่างใด ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดี จึงไม่อาจรับฟังได้
@พิพากษาให้‘สุชาติ’ชดใช้สินไหมฯให้‘อคส.’รวม 401.3 ล้าน
เมื่อได้วินิจฉัยมาตามลำดับดังนี้แล้ว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (รมว.พาณิชย์) ได้มีคำสั่งองค์การคลังสินค้า ลับ ที่ 256/2566 ลงวันที่ 19 ธ.ค.2566 ให้ผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักเสมา) ชำระคำสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในอัตราร้อยละ 20 ของเงินจำนวน 2,003,770,491.80 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 400,754,098.36 บาท เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงชอบที่จะได้รับชำระค่าสินไหมทดแทนจากผู้ฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน 400,754,098.36 บาท และชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยผิดนัดก่อนฟ้องคดีตั้งแต่วันกระทำละเมิด คือ วันที่ 31 ส.ค.2563 ถึงวันที่ 10 เม.ย.2564 ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 400,754,098.36 บาท เป็นเงินจำนวน 18,335,657.45
และตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.2564 จนถึงวันฟ้อง (29 ม.ค.2567) ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเงินจำนวน 56,211,019.59 บาท รวมเป็นดอกเบี้ยผิดนัดก่อนฟ้องคดีทั้งสิ้น 74,546,667.04 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 475,300,765.40 บาท
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.2567 ถึงวันที่ 29 ม.ค.2567 เป็นเงินจำนวน 548,978.22 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 401,303,076.58 บาท ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเกินคำขอได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยผิดนัดก่อนฟ้องคดี เป็นเงิน 548,978.22 บาท โดยเมื่อรวมต้นเงินแล้วไม่เกินจำนวน 401,303,076.58 บาท ตามคำขอของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่ได้มีคำขออย่างชัดแจ้งเกี่ยวกับดอกเบี้ยผิดนัด ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาคำขอในส่วนนี้ได้
พิพากษายกฟ้องผู้ฟ้องคดี (นายสุชาติ เตชจักเสมา) และให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) เป็นเงินจำนวน 400,754,098.36 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี โดยคำนวณถึงวันที่ 29 ม.ค.2567 เป็นเงินจำนวน 548,978.22 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 401,303,076.58 บาท ตามคำขอของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
ทั้งนี้ ให้ผู้ฟ้องคดีชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
โดยมีข้อสังเกตเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่า หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (องค์การคลังสินค้า) ได้รับชำระเงินค่ามัดตามสัญญาจาก บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด คืนจำนวนเท่าใดแล้ว ให้นำมาหักออกตามสัดส่วน จากจำนวนเงินที่ผู้ฟ้องคดีจะต้องชำระตามผลของคำพิพากษาคดีนี้ด้วย
จากนี้คงต้องติดตามกันต่อว่า เมื่อมีการยื่นอุทธรณ์คดีนี้ต่อศาลปกครองสูงสุดแล้ว ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไร?
อ่านประกอบ :
- คดีถุงมือยาง(1)‘ศาลปค.’ชี้‘อดีตปธ.บอร์ด’มีพฤติการณ์เป็น‘ผู้สั่งการ’-จงใจทำ‘อคส.’สูญ 2 พันล.
- โดน 401.3 ล้าน! ศาลปค.กลาง สั่ง 'สุชาติ' อดีตปธ.อคส.ชดใช้ค่าสินไหมคดีถุงมือยางแสนล.
- ความเห็นแย้งคดี‘ถุงมือยาง’(จบ) กระทำความผิดโดยทุจริต หาควรยกฟ้อง 21‘จำเลย’อย่างสิ้นเชิง
- ความเห็นแย้งคดี‘ถุงมือยาง’(3) จ่ายมัดจำ'การ์เดียนโกลฟส์'2 พันล.-ได้ของแค่ 2.8 หมื่นกล่อง
- ความเห็นแย้งคดี‘ถุงมือยาง’(2) พฤติการณ์‘รีบด่วนผิดปกติ’-อ้างนโยบาย‘รัฐมนตรี’เร่งทำสัญญา
- ความเห็นแย้งคดี‘ถุงมือยาง’(1) ‘อคส.’ส่ง‘รักษาการผอ.’ดีล‘การ์เดียนโกลฟส์’วางมัดจำ 2 พันล.
- ฉบับเต็ม! ยกฟ้องคดี‘ถุงมือยาง’ ไม่ปรากฏใช้‘ดุลพินิจ’ทำเสียหาย-มัดจำ 2 พันล.ไม่เสียเปรียบ
- ฉบับเต็ม! อธิบดีผู้พิพากษาเห็นแย้งยกฟ้อง! 'รุ่งโรจน์-พวก 21 คน' คดีซื้อถุงมือยาง 2 พันล.
- ยกฟ้อง! 'รุ่งโรจน์-พวก 21 คน' คดีซื้อถุงมือยางอคส. 2 พันล.-อธิบดีผู้พิพากษา เห็นแย้ง
- เพิ่งจัดตั้ง 2 ด.เศษ! เปิดตัว บ.คู่สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล.-พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ยันทำถูกต้อง
- โชว์ครบ 4 หน้า! สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล้าน-ข้อสังเกตหลักประกัน 200 ล.-ลูกค้าปริศนา?
- แกะรอยเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียนโกลฟส์ งวดแรก อยู่ที่ไหน?
- โพรไฟล์ชีวิต ‘พ.ต.อ.รุ่งโรจน์’ ผู้ลงนามสัญญาซื้อขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- แฉเหตุ 'รุ่งโรจน์' กล้าทำสัญญาขายถุงมือยางแสนล.! มีบอร์ดอคส.-นักการเมือง ปชป.ดีลลูกค้าให้
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' เบื้องลึก บ.ขายถุงมือยาง อคส.แสนล.-1 ในผู้บริหารเคยโดนแจ้งความคดีฉ้อโกง?
- พบเป็นโกดังเก็บสินค้าย่านนครปฐม! เผยโฉม บ.การ์เดียนโกลฟส์ฯ คู่สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล.
- เปิดตัว คุณเอ็ม 'ธณรัสย์ หัดศรี' เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- ภาพชุด 2! เปิดตัว 'คุณเอ็ม' เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ': เปิด 7 เอกชน จองซื้อถุงมือยาง อคส.แสนล.-บ.K สั่งล็อตใหญ่ 500 ล้านกล่อง
- MR.Abdullah Pathan ตัวแทนลอว์เฟิร์มในสหรัฐฯ สั่งซื้อถุงมือยางแสนล.มีตัวตนจริงหรือไม่?
- บ้าน 2 ชั้นย่านอุดมสุข! เปิดตัวบ.เคเค.ออยล์ ลูกค้ารายที่ 2 สั่งซื้อถุงมือยาง 1.1 หมื่นล.
- คนชื่อแอร์แนะนำ! ผู้บริหารบ.เคเคออยล์ฯ แจงทำสัญญาซื้อถุงมือยาง 1.1หมื่นล.-มีลูกค้าจริง
- รุ่นพี่ชื่อ'จ๋า'แนะนำ! เปิดตัวบ.ถนอมผลไม้ ลูกค้าอคส.รายที่ 3 ซื้อถุงมือยาง 1.1 หมื่นล.
- รายที่4! เปิดตัว Galore ลูกค้า อคส. ซื้อถุงมือยาง2.2หมื่นล.-อยู่ฟลอริดา โชว์รายได้ 2 ล.
- เจอแล้ว! บ.รายที่ 5 ซื้อถุงมือยาง2.1 หมื่นล.-แจ้งงบฯขาดทุน1.2 หมื่น-ยันมีลูกค้าตปท.จริง
- ตามไปดู บ.รายที่ 6 ซื้อถุงมือยาง อคส.2.5 พันล. พบเป็นที่ตั้งลอว์เฟิร์มย่านรัชดา
- ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง! ตัวแทน บ.ควีนฯ แจงเหตุสั่งซื้อถุงมือยาง 2.5 พันล.-คนใน.อคส.ชักชวน
- เปิดตัว บ.รายที่ 7 ซื้อถุงมือยาง 2.5 พันล.-โอดเดือดร้อน ส่งของ รบ.ท้องถิ่นแคนาดาไม่ทัน
- ล็อกเป้า 3 บ.จุดเริ่มต้นคดีถุงมือยางแสนล.! อคส.รอ DSI สอบปากคำจบตามเงินคืน 1.8 พันล.
- โชว์ใบฝากเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียนฯ-เข้าบช.กสิกรไทย บิ๊กซีนครปฐม
- เปิดเส้นทางเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียน- ณ 15 ก.ย. เหลือยอดแค่ 858 ล.
- เผยโฉมบัญชี บ.การ์เดียนฯ รับเงิน อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง 2 พันล.-ก่อน ป.ป.ช.สั่งอายัด
- แฉบ.การ์เดียนฯ ชิงถอนเงินเกือบหมด! หลังสื่อตีข่าว ป.ป.ช. สั่งอายัดบัญชีถุงมือยาง 2 พันล.
- ไม่เคยให้เงินใต้โต๊ะกับใคร! เปิดคำชี้แจง เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ ปมขายถุงมือยางแสนล้าน
- ต้องเอาเงินคืน!'จุรินทร์'ตอบปม อคส.ซื้อถุงมือยางแสนล้าน-ป.ป.ช.ระงับบัญชีแล้วบางส่วน
- เบื้องลึก 'จุรินทร์' สั่งตามเงินคืน 2 พันล.! อคส.คุ้ยหลักฐานตปท.พิสูจน์MOUซื้อถุงมือยางแสนล.
- ขมวดปม (1) ข้อสังเกตสร้างนิติกรรมสัญญา? เปิดโอกาสจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน
- โชว์ครบ 3 หน้า แปลไทยแล้ว! สัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล. 'อคส.-ลอว์เฟิร์มสหรัฐฯ'
- ผู้บริหารโดนคดีฉ้อโกงค่าอาหารที่พัก! ขมวดปม (2) ข้อมูลลับ 'การ์เดียนโกลฟส์'ในมือ อคส.
- ขมวดปม (3) ข้อสังเกตสัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล. 'อคส.-การ์เดียนโกลฟส์' เอื้อปย.เอกชน
- เปิดที่มาเงิน 2 พันล. อคส. จ่ายค่าถุงมือยาง 'ถอนจากบัญชีฝากประจำ' ไม่ขออนุญาตก.คลัง?
- เปิดคำให้การ! เบื้องหลังมติถอนเงินบัญชีฝากประจำจ่ายถุงมือยาง 2 พันล.-ไม่ผ่านบอร์ด อคส.?
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' : 9 เงื่อนปม ป.ป.ช.ลุยสอบ อคส. ทำสัญญาจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน
- สภาระอุ! หลักฐาน-คำชี้แจง'ประเสริฐ-จุรินทร์' ปมจัดซื้อถุงมือยาง
- รอ ป.ป.ช.ชี้ขาดดีกว่า! 'รุ่งโรจน์' เมิน อคส.ชงผลสอบถุงมือยางแสนล.ให้ 'จุรินทร์'
- ยังเปิดกิจการอยู่! โชว์ภาพล่าสุด บ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส. แสนล.
- ให้ปากคำ ป.ป.ช.แล้ว! ความเคลื่อนไหวล่าสุด บ.การ์เดียนฯ ขายถุงมือยางแสนล.
- แฟ้มลับคดีถุงมือยางแสนล.(1) เปิดคำให้การ บ.การ์เดียนฯ จนท. 'ก.' มาดีลงานถึงที่
- โวย อคส.ชวนมาซื้อแต่โดนคดีทุจริต! อนุฯ ป.ป.ช.แจ้งข้อหา จนท.รัฐ-เอกชนปมถุงมือยางแสนล.
- ลับสุดยอด! ภาพชุด จนท.อคส. เปิดคลังรับสินค้า บ.การ์เดียนฯ จุดเริ่มต้นคดีถุงมือยางแสนล.
- รีวิวครั้งแรก! เผยโฉมถุงมือยางแสนล้าน อคส.ทำสัญญาซื้อ บ.การ์เดียนฯ - ใครผลิต?
- เบื้องหลัง! ภาพชุดเปิดคลังรับสินค้าถุงมือยางแสนล.- บิ๊ก อคส. สั่งจัดฉากโชว์ของตัวอย่าง?
- คู่สัญญาถุงมือยางแสนล. 'อคส.' เปลี่ยนชื่อใหม่ - ออกสื่อPR.ข่าวแผนธุรกิจงานหมื่นตำแหน่ง
- อคส. หัก บ.การ์เดียนฯ สั่งคืนถุงมือยางแสนล.! ‘อิศรา’ บุกคลังสินค้าขอดูของ จนท.ไม่ให้
- ขอริบเงิน 2,000 ล.! บ.การ์เดียนฯ โต้กลับ อคส. ชิงบอกเลิกสัญญาถุงมือยางแสนล้าน
- หลักฐานใหม่ 'ศรีตรัง-ซันไทย' ไม่รู้เรื่องถูกใช้เอกสารแนบทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล.
- เจาะผลสอบถุงมือยางแสนล.(1) เริ่มต้นห้อง บิ๊ก อคส.-นาย อ.จัดให้คำสั่งซื้อลอว์เฟิร์มสหรัฐ
- เจาะผลสอบถุงมือยางแสนล.(2) บทบาทผู้บริหาร อคส.ปริศนา สั่งหาช่องทำสัญญา-จ่ายเงินสองพันล.
- ถ้าบอกทุจริตจะสู้หัวชนฝา! ป.ป.ช. เรียก รุ่งโรจน์ แจ้งข้อกล่าวหาถุงมือยางแสนล. 28 พ.ค.
- เผยหนังสือลับคดีถุงมือยางแสนล.! อนุฯ ไต่สวน ป.ป.ช. แจ้งขอหลักฐานแต่งตั้ง ปธ.บอร์ด อคส.
- กลับไปใช้ชื่อเก่า! บ.การ์เดียนฯ ถุงมือแสนล. อคส.แจ้งเปลี่ยนรอบ2-ยังไม่โชว์งบการเงิน
- พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ยื่นหนังสือลาออกแต่โดนเบรก - ขอแสดงความรับผิดชอบถุงมือยางแสนล.!
- กางระเบียบ อคส.! ทางเดียว 'รุ่งโรจน์' ลาออกได้ ต้องเป็น 'ผู้บริสุทธิ์' คดีถุงมือยางแสนล.
- ขีดเส้น 'รุ่งโรจน์' ให้ปากคำสอบวินัยร้ายแรงถุงมือยาง-ถ้าโดนไล่ออกเจอฟ้องคืนเงินด.หลักล้าน!
- ระทึก! บอร์ด อคส. ทั้งคณะ จ่อโดนสอบความรับผิดทางละเมิดคดีถุงมือยางแสนล้าน
- สรุปผลสอบคดีละเมิดถุงมือยาง โดนชี้ 7 ราย 'สุชาติ-รุ่งโรจน์-เกียรติขจร-มูรธาธร-จนท.อีก 3'
- พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ : The Last Dance ท่าที-แนวทางต่อสู้ คดีถุงมือยางแสนล.
- 'จุรินทร์'เผยผลสอบ กก.ลงโทษทางวินัยร้ายแรงไล่ออกราชการ 3 คนเอี่ยวคดีถุงมือยาง
- เป็นทางการ! บอร์ด อคส. ลงมติไล่ออก 'รุ่งโรจน์-เกียรติขจร -มูรธาธร' คดีถุงมือยางแสนล.
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' เปิดสำนวน คกก.วินัยร้ายแรง มติเอกฉันท์ไล่ออก 'รุ่งโรจน์-พวก' คดีถุงมือยาง
- โชว์คำสั่งไล่ออก จนท.อคส.คดีถุงมือยางแสนล.-กรณี 'รุ่งโรจน์' แจ้งปลัดสำนักนายกฯ แล้ว
- ไต่สวนคดีถุงมือยาง อคส. แสน ล.เสร็จแล้ว! เตรียมส่ง กก.ป.ป.ช.ชี้ขาด
- มีชื่อบิ๊กในบอร์ด อคส.ด้วย! ป.ป.ช.ขีดเส้นสรุปสำนวนไต่สวนคดีถุงมือยางแสนล.ก่อนสิ้นปีนี้
- รัฐมนตรีไม่โดน! ป.ป.ช.ชี้มูลคดีจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน อคส.-มีผู้ถูกกล่าวหา 21 คน
- โดนจริง 22 คน! เจาะมติป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยางอคส.-'มูรธาธร' มือจ่ายเช็ค2พันล.รอดอาญา
- ได้มาแล้ว! เปิดครบ 22 ชื่อผู้ถูกกล่าวหา คดีถุงมือยาง 'รุ่งโรจน์-สุชาติ-ธณรัสย์' โดนหมด
- ยังไม่เลิกกิจการ! ข้อมูลล่าสุด บ.ถนอมผลไม้ถูกชี้มูลคดีถุงมือยาง เจ้าของออเดอร์1.1หมื่นล.
- พร้อมสู้! 'รุ่งโรจน์-ธณรัสย์' แจงถูก ป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยาง ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม
- ข้อมูลใหม่! มติ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยาง อคส. ขอให้ริบทรัพย์เงิน 550 ล.-ที่ดิน 33 ไร่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา